ศพนี่หว่า

-- ครูประยงค์

ราวเมษายน ปี 2518 ข้าพเจ้าจบหลักสูตรนักประดาน้ำของกรมสรรพาวุธทหารเรือมาหมาดๆ นักดำใหม่ถูกเรียกมาบรรจุเป็นนักประดาน้ำสังกัดกองทดสอบ แผนกปฏิบัติการใต้น้ำ ฉะนั้นนักดำน้ำใหม่ทั้งหลายยังไม่ได้ไปปฏิบัติราชการที่ไหน ยังคงสุมหัวกันอยู่ที่แผนก

วันหนึ่งจู่ ๆ ก็มีตำรวจยศพันตำรวจโท ท่านหนึ่งมาที่ทำงาน และเข้าพบ
หัวหน้าแผนกฯ พวกเราวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานาว่าใครน่าจะทำอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ ถามใครก็ไม่มีใครรู้เรื่อง ในที่สุดก็มาถึงบางอ้อ เมื่อหัวหน้ามาสั่งพวกเราให้เตรียมการณ์ ดำน้ำค้นหาศพ โดย ร.ต.ทองดี รักคง (ยศขณะนั้น) ซึ่งก็เป็นครูของพวกเรา และลูกชุดอีก 6 นาย 1 ใน 6 นั้นมีข้าพเจ้าด้วย 6 นายล้วนเป็นนักดำใหม่ทั้งสิ้น พวกเรารู้สึกตื่นเต้นกันมากเพราะเป็นงานแรก แถมดำค้นหาศพอีกต่างหาก และที่ฝึกมาก็ไม่มีการค้นหาศพ มีแต่ค้นหาของธรรมดาที่ตกน้ำ พอไปถึงที่หมายก็พบว่าเป็นบึงขนาดใหญ่ แถวบางเขน น้ำลึกประมาณ 8-9 เมตร ถามผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า
ผู้ตายเป็นชายว่ายน้ำออกจากตลิ่งไปราว 50 เมตร แล้วก็จมน้ำเข้าใจว่า เป็นตะคริว น้ำออกเป็นสีเขียวใต้น้ำทัศนวิสัยเป็นศูนย์ ต้องใช้การสัมผัสอย่างเดียวในการค้นหา

การวางแผนต้องทำตุ้ม มีทุ่นหมายเขต เชือกค้นหา 10 เมตร ใช้นักดำครั้งละ 2 นาย ดำจับมือกันโดยให้ติดพื้นอกไถดินกันเลย จนรอบตุ้ม เมื่อครบรอบก็คลี่เชือกออก 4 เมตร วนรอบอีก ทำอย่างนี้จนสุดเชือกค้นหา ถ้าพบให้นำศพมาที่ตุ้มนำขึ้นตามเชือกนำ ถ้าไม่พบก็จะย้ายตุ้มต่อไปโดยให้ห่างจากจุดเดิม 10 เมตร

เมื่อวางแผนเรียบร้อยก็จัดคนลง คู่แรกมีการเกี่ยวกันต้องมีการจับสลาก ข้าพเจ้าและ จ่าเอกรจิตป็นคู่แรก พอรู้เป็นคู่แรกเท่านั้นแหละใจก็เต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ขณะแต่งตัวจะลงดำ ปากก็เจรจาหยอกล้อเพื่อน ๆ แต่สีหน้าและแววตาคงปกปิดครูทองดีไม่ได้หรอก เพราะพอเราทั้งสองจะเริ่มดำท่านก็ตามมาที่ตลิ่งเอื้อมมือเอาดินขึ้นมาหนึ่งกำมือ ทำปากขมุบขมิบ พักหนึ่งก็เป่าลงบนดินในฝ่ามือและโปะดินนั้นบนหัวเราทั้งสองและพูดว่า “แม่พระธรณีรักษา แม่พระธรณีรักษา แม่พระธรณีรักษา” ข้าพเจ้าใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง มีความมั่นใจยิ่งขึ้น (ภายหลังถาม Buddy ก็มีความรู้สึกเดียวกัน) ตุ้มแรกลงไป รอบแรกรจิตลงก่อน ข้าพเจ้าตาม ผูกเชือกแล้วคลี่ออก 4 เมตร มือหนึ่งจับโคนตุ้ม อีกมือหนึ่งจับมือ Buddy ไว้ แล้วกางแขนจนสุดหมุนรอบตุ้ม (ก่อนออกมีไม้ปักไว้) พอครบรอบก็คลี่เชือกออกอีก เราทั้งสองจับมือกันแน่นมาก และสะดุดกันหลายครั้ง เมื่อมีอะไรมากระทบ (ในใจภาวนาอย่าเจอเลย) แล้วในที่สุดตุ้มแรกก็ไม่เจอ ครูก็ไม่ยอมเปลี่ยนนักดำ ตุ้มสองทำเหมือนตุ้มแรกแต่ความหวั่นวิตกน้อยลง เหนื่อยแล้วก็หนาว (ในใจภาวนาขอให้เจอที่เถอะจะได้นำขึ้นไปบำเพ็ญกุศล แต่ก็ไม่เจอซักที)

ขณะกลับสู่ตุ้มข้าพเจ้าก็อยู่ในนั้นก็กลับมาก่อน Buddy ก็ขมวดเชือกตามมา ซักพักข้าพเจ้าเหมือนเอาศีรษะซุกอยู่ในหว่างขาใครซักคน จับดูก็รู้สึกนิ่ม ๆ ลื่น ๆ และที่สำคัญไม่มีอุปกรณ์ดำน้ำ เลยสักชิ้น สรุปอยู่ในใจว่า “ศพนี่หว่า” เท่านั้นแหละ กระตุกเฮือกคว้าขึ้นสู่ผิวน้ำเลย ลืมแผนการปฏิบัติ ลืม Buddy พอถึงผิวน้ำบรรดาไทยมุ่งก็ส่งเสียงเซ็งแซ่ “เจอแล้ว ๆ” เสียงครูทองดีตะโกนถาม Buddy อยู่ไหน เล่นเอามึนเลยเรา พอดีเขาก็โผล่ขึ้นมาถามเจอแล้วเหรอ ข้าพเจ้าพยักหน้า แล้วช่วยกันลากศพเจ้าหาตลิ่งพอศพถึงตลิ่งบรรดาไทยมุงก็แตกฮือ สงสัยทำไมไม่ช่วยนำศพขึ้น พอเปิดหน้ากากออกเท่านั้นก็ได้คำตอบ “เหม็นฉิบ” เราทั้งสองจึงเป็นสัปเหร่อจำเป็นโดยปริยาย เย็นนั้นเจ้าของคดีนำชุดดำน้ำไปเลี้ยง นาน ๆ จะได้กินของตำรวจเลยฟาดเต็มคราบเลย

เรื่องน่าจะจบแล้ว ยัง ยังไม่จบ เพราะคืนนั้นนอนไม่หลับทั้งคืน แถมปวดฟันด้วย ถ้าไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจฟันและช่องปาก หมอบอกปกติ หมอก็แปลกใจถามไปทำอะไรมาข้าพเจ้าก็เล่าให้ฟัง หมอให้ตรวจประสาท หมอสรุปว่าข้าพเจ้าเป็นโรคประสาทอย่างหนึ่งให้ยามารับประทานสามวันจากนั้นก็หาย

เรื่องของจิตใจนี่ช่างซับซ้อน ยากยิ่งจะหยั่งรู้ ยิ่งการฝึกบังคับจิตใจให้มีสมาธิ มีความกล้าหาญ ยิ่งยากเป็นร้อยเท่าพันทวี หวังว่าเรื่องนี้คงเป็นอุทาหรณ์ สอนใจนักดำน้ำในการทำงานใต้น้ำต้องมีสมาธิที่แน่วแน่ มีความกล้าหาญ มุ่งมั่นให้งานสำเร็จ สมควรแก่หน้ากระดาษ แล้วเอวังก็มีด้วยประการฉะนี้แล