กว่าจะเป็น นพอ. ThaiDive.Org  

 

 

กว่าจะเป็น : ปลาหมึก 08



บันทึกประจำวันของเราชาว Octopus08

วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๔๖


วันนี้นับเป็นวันแรกที่พวกเราทั้งหมดจะต้องมาใช้ชีวิตร่วมกัน โดยเหล่าพลเรือนก็มีการนัดหมายกันที่จะมาขึ้นรถกันที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ก็เริ่มทยอยกันมาเรื่อยๆ วันนี้รู้สึกว่าทุกคนจะมีการทักทายกันมากขึ้นหลังจากที่ได้ไปร่วมกิจกรรมเบื้องต้นที่โรงเรียนนายเรือกันมา เมื่อมากัน พร้อมแล้วก็ร่วมกันถ่ายรูปหมู่ที่สถาบันก่อนการออกเดินทาง จนได้เวลาที่ล้อรถของกองทัพเรือเริ่มเคลื่อนท ี่เพื่อที่จะพาพวกเราไปสู่จุดหมายที่ฐานทัพเรือสัตหีบ บรรยากาศภายในรถก็เริ่มมีกิจกรรมให้พวกเราได้ร่วมสนุกกัน โดยให้ทุกคนออกมาแนะนำตัวเพื่อให้เพื่อนๆ ได้รู้จักพร้อมกับมีป้ายชื่อให้แต่ละคนห้อยคอเอาไว้ หลายคนก็ดูจะสนุกกับการแนะนำตัว แต่หลายคนก็อายๆ เมื่อต้องมีการบอกอายุของตนเอง เมื่อเสร็จจากตรงนี้หลายคนก็เริ่มมีอาการง่วงนอน แต่เพื่อไม่ให้บรรยากาศภายในรถเงียบเหงาก็เลยมีการซ้อมร้องเพลงของทหารเรือ คือ เพลงเดินหน้า เพลงดอกประดู่ และเพลงราชนาวี โดยมีพี่หมู (๓๕) เป็นต้นเสียงและช่วยซ้อมให้พวกเราแต่ดูค่อนข้างจะขัดๆเพราะพวกเราไม่มีเนื้อเพลงให้ร้องตามแต่ทุกคนก็พยายามที่จะร้องตามเพื่อให้คุ้นกับทำนองไปก่อนแล้วค่อยไปท่องเนื้อเอาอีกที
จากนั้น ก้อย (๕๗) ก็มาสรุปให้พวกเราฟังว่าเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้มีคณะทำงานบางส่วนได้ร่วมประชุมกันมาว่าจะมีการทำหนังสือรุ่น ทำเสื้อรุ่น คิดชื่อรุ่นและโลโก้ โดยได้มีการคิดแบบมาบ้างแล้ว แต่ทั้งนี้ก็ต้องรอที่จะปรึกษากับกลุ่มของทหารเรืออีกทีเพราะเราจะต้องรวมเป็นรุ่นเดียวกัน หลังจากที่ออกเดินทางมาได้สักระยะพวกเราก็แวะเข้าปั๊มน้ำมัน เพื่อที่จะเข้าห้องน้ำ ลงไปเดินยืดเส้นยืดสาย และหาซื้อของกินเพื่อเป็นอาหารเช้า พวกเราใช้เวลาเดินทางประมาณ ๓ ชั่วโมงก็มาถึงยังจุดหมายคือฐานทัพเรือสัตหีบก็ช่วยกันขนของลงจากรถ โดยมีครูบรรลุมายืนคุมอยู่พวกเราก็โดนคำสั่งให้ตั้งแถวเพื่อเช็คยอดและรอขึ้นเรือเพื่อที่จะเดินทางไปยังเกาะพระ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของพวกเรานี่เอง
เมื่อมาถึงเกาะพวกเราก็มาเข้าแถวรวมกับกลุ่มของทหารเรือที่มารออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว หลังจากนั้นก็ช่วยกันยกของเข้าสู่ห้องพักโดยผู้หญิงก็พักอยู่ชั้นบน ส่วนผู้ชายก็พักอยู่ข้างล่าง โดยมีครูชุมพลคอยควบคุมดูแลอยู่ เสร็จแล้วพวกเราก็มาเข้าแถวอย่างพร้อมเพรียงกัน ซึ่งดูแล้วค่อนข้างที่จะติดขัด เนื่องจากส่วนใหญ่จะเป็นพลเรือน เพื่อที่จะรับฟังกฎและข้อตกลงของการปฏิบัติตนของพวกเราในช่วงที่มาเข้ารับการฝึกนี้ และทำการซ้อมขั้นตอนของพิธีเปิดที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ สิ่งแรกที่พวกเราต้องเจอคือเวลาของการรับประทานอาหารซึ่งมื้อเที่ยงนี้นับเป็นมื้อแรกบนเกาะนี้ โดยพวกเราจะต้องนั่งกินอาหารอย่างมีระเบียบคล้ายกับพวกทหารเลย เริ่มด้วยการยืนประจำเก้าอี้ที่จะนั่ง จากนั้นหัวหน้าก็จะสั่งให้ยกเก้าอี้ ก็ต้องยกด้วยการห้ามมีเสียงดัง แล้วก็นั่งหลังตรงหนีบเข่าเท้าชิด ก่อนที่จะกินอาหารก็ต้องมีการกล่าวคำปฏิญาณ"เรากินเพื่ออยู่ หวังต่อสู้เพื่อการศึกษา" หลังจากนั้นก็จะมีคำสั่งให้กินได้ พวกเราก็ต้องตักอาหารกินอย่างสงบห้ามมีเสียง และก็เป็นธรรมเนียมของทหารเรือที่เวลากินอาหารเสร็จแล้วก็จะต้องรวบช้อนและส้อมแล้วหันปลายช้อนไปทางทะเล และทุกคนจะต้องร่วมกันรับผิดชอบกินอาหารบนโต๊ะให้หมด พอทุกอย่างเรียบร้อยหัวหน้าก็จะสั่ง เก็บเก้าอี้เราก็ต้องยกเก็บอย่างห้ามมีเสียงเช่นกัน แล้วก็วิ่งไปตั้งแถวที่หน้าโรงอาหารเพื่อกล่าวคำปฏิญาณว่า "เราจะนำอาหารมื้อนี้ ไปต่อสู้เพื่อให้เป็น นักดำน้ำเพื่อการอนุรักษ์" ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนของการทานอาหาร
แล้วพวกเราก็ไปตั้งแถวเพื่อรอพิธีเปิดและคงจะเป็นโชคดีของพวกเราที่ท้องฟ้ามืดครึ้มหลังจากที่ในช่วงเช้าแดดจัดมากเลย จนถึงเวลาพิธีการก็มี พล.ร.อ.ชวลิต อิศรางกูร ณ อยุธยา มาเป็นประธาน ซึ่งขั้นตอนต่างๆก็ใช้เวลาไม่นานนัก หลังจากเสร็จขั้นตอนตรงนี้พวกเราก็กลับเข้าสู่ห้องเรียนเพื่อที่จะทดสอบ Pre-test ซึ่งข้อสอบก็เล่นเอาหลายคนงงไปเลย แต่ทุกคนก็ไม่ได้คิดอะไรมากกับคะแนนที่ได้ จากนั้นพวกเราก็เปลี่ยนเป็นชุดกีฬา เพื่อร่วมกิจกรรมที่เป็นประเพณีของนักเรียนดำน้ำ คือการวิ่งขึ้นเขาเพื่อที่จะไปสักการะอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ งานนี้เล่นเอาพวกเราลิ้นห้อยไปตามๆกัน เพราะไหนจะต้องวิ่งแล้วยังต้องมีการร้องเพลง วิ่งนับก้าว แต่เมื่อขึ้นไปถึงแล้วก็หายเหนื่อยเพราะวิวข้างบนสวยมากสามารถเห็นท้องทะเลของสัตหีบได้รอบ แล้วพวกเราก็ได้ถวายสักการะตามแต่ใครจะอธิษฐานก่อนที่จะมาปฏิบัติตามขั้นตอนของทหารเรือ โดยการกล่าวคำปฏิญาณ และร้องเพลง เดินหน้ากับเพลงราชนาวี อย่างละ ๓ จบและในระหว่างนี้ก็มีเพื่อนร่วมรุ่นของเราเกิดอาการเป็นลมขึ้นมา คือ เจ๊ก้อย(๕๗) แต่ก็ได้รับการดูแลพยาบาลอย่างดี แต่ก็เหมือนกับพวกเราจะโดนแกล้งเพราะหลังจากที่พวกเราจะได้พัก ก็ถูกเรียกให้ตั้งแถวอีกแล้วเพื่อทำการเล่น PT เล่นเอาพวกเราเหนื่อยมากขึ้นไปอีกกว่าจะได้พัก เลยทำให้ ดูแล้วว่าน้ำ ๑ ขวดนี่จะน้อยไป หลายคนก็เลยต้องเพิ่มอีก พอได้พักจนหายเหนื่อยก็ถึงเวลาที่จะต้องเดินทางกลับลงมาก็ต้องวิ่งกันลงมาอีก ตอนแรกก็แอบดีใจที่เห็นรถมารอรับ แต่พอมาถึงที่รถก็อดขึ้น ก็ต้องวิ่งกันมาเรื่อยๆแต่ก็ไม่เหนื่อยเหมือนตอนวิ่งขึ้น และยังได้เห็นบรรยากาศของชายหาดเตยงามดูแล้วก็สวยดี และที่ชายหาดนี้ก็มีอนุสาวรีย์ทหารนาวิกโยธิน ตั้งตระหง่านอยู่ซึ่งดูแล้วรู้สึกว่ายิ่งใหญ่มาก พวกเราก็เดินพักผ่อนตามชายหาดประมาณ ๑๐ นาที ก่อนที่จะขึ้นรถกลับมาที่ท่าเรือเพื่อข้ามฟากมาที่เกาะ
พอมาถึงที่เกาะพระก็ได้เวลาอาหารเย็น แต่มื้อนี้เราก็ได้รับคำสั่งว่าทุกมื้ออาหารจะต้องมีการดึงข้อ ๕ ครั้งสำหรับผู้ชาย และห้อยตัวบนบาร์ ๒๐ วินาทีสำหรับผู้หญิง เสร็จแล้วถึงจะเข้าโรงอาหารได้ ก็ต้องปฏิบัติเหมือนกับมื้อกลางวันทุกอย่าง หลังจากกินอาหารเย็นกันเรียบร้อยก็ถึงเวลาที่จะต้องชำระล้างร่างกายโดยพวกเรามีเวลาในการอาบน้ำ ๑๕ นาที และสภาพห้องน้ำ(ชาย) ก็เป็นแบบทหารจริงๆ คือว่ามีแค่อ่างน้ำขนาดใหญ่ตรงกลาง แล้วพวกเราก็ยืนล้อมรอบตักน้ำอาบกัน ก็มีหลายรูปแบบที่แต่ละคนจะถนัด มีทั้งการอาบน้ำแบบญี่ปุ่น หรือการอาบแบบไทย ซึ่งทุกคนต่างก็ต้องเร่งรีบเพื่อให้ทันกับเวลาที่ครูกำหนด จากนั้นพวกเราก็มารวมกันที่ห้องเรียน นับเป็นครั้งแรกที่พวกเราได้มารวมกันทั้งหมด แต่ก่อนที่จะมีการประชุมกัน พวกเราก็มีการแนะนำตัวกันอีกครั้ง เพราะพวกทหารเรือยังไม่คุ้นเคยกับกลุ่มของพลเรือน แล้วก็มีการเลือกประธานรุ่น ๘ ซึ่งก็ได้พี่ภู (๔๔)มารับหน้าที่รวมทั้งมีการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาอีกชุด มีการปรึกษากันถึงเรื่องของเพลงประจำรุ่นที่จะต้องเตรียมไว้ร้องเวลาที่พวกเราออกกำลังกายหรือหลังจากการดึงข้อเพื่อรอเข้าโรงอาหาร ชื่อและโลโก้ประจำรุ่น ก็มีการเสนอมาหลายรูปแบบ ก็เอาไว้ให้ทุกคนไปคิดดูก่อนแล้วค่อยมาตัดสินใจอีกที เมื่อเสร็จแล้วก็เตรียมตัวเข้านอน
แต่ต้องมีการเปลี่ยนแผนเล็กน้อย เนื่องด้วยในคืนนี้เป็นคืนแรกที่ทางหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ ได้จัดสัปดาห์ทดสอบสภาพร่างกายและจิตใจของผู้ที่จะมาเป็นมนุษย์กบ(นักเรียนชั้นต้น)ซึ่งเค้าเรียกว่าสัปดาห์นรก เพราะเนื่องจากว่าตลอดสัปดาห์นี้ผู้ที่เข้าฝึกจะต้องฝึกตลอดทั้งวันทั้งคืนหากทนไม่ไหวก็ลาออก โดยคืนนี้พวกผู้ชายก็ต้องย้ายที่นอนมานอนที่ห้องเรียนเป็นการชั่วคราว เพื่อรอให้เหตุการณ์ต่างๆ สงบลงก่อน จนได้เวลาของสัปดาห์นรกก็มีเสียงปืน เสียงระเบิดดังไปทั่วนอกจากนี้ก็มีควันจากระเบิดควันกระจายทั่วห้องนอน และนักเรียนชั้นต้นก็ถูกปลุกออกมาให้ปฏิบัติตามคำสั่งของครูฝึกเพื่อเป็นการทดสอบร่างกายและจิตใจตามแบบของทหารจริงๆ พอเสียงปืนเริ่มสงบลงพวกเราก็ลงไปเกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งดูแล้วก็น่าสงสารเหมือนกัน แต่นี่แหละ ก็คือการฝึกสำหรับผู้ที่จะมารับหน้าที่เป็นรั้วของชาติโดยแท้ และเพื่อให้เป็นนักทำลายใต้น้ำจู่โจม มันเป็นความภาคภูมิใจแก่ตัวเค้าเอง พวกเราก็รอให้ควันจากระเบิดที่ห้องนอนจางลงก็เริ่มทยอยกันกลับไปนอนแต่ก็มีหลายคนที่ทนดูต่ออีกจนดึกดื่น
วันนี้ก็ต้องขอแทรกเรื่องฮาประจำวันที่ทุกคนต่างก็ประทับใจคือ "ตำรวจถูกขัง" โดยเรื่องมีอยู่ว่า หลังจากที่พวกเราอาบน้ำและแต่งตัวภายในเวลาที่ครูกำหนด ก็ออกมาตั้งแถวรอที่หน้าเสาธงขณะที่เช็คจำนวนปรากฏว่ามีนักเรียนขาดไป ๑ คนก็นึกไม่ออกว่าเป็นใครตอนแรกคิดว่าเป็นผู้หญิง แต่พอเช็คอีกทีปรากฏว่า เป็นผู้ชายแล้วพี่ตี๋ซึ่งเป็นผู้ถือกุญแจห้องพักชาย ก็วิ่งกลับไปดูที่ห้องอีกทีปรากฏว่าพี่หมู(๓๕)ถูกขังอยู่ในห้อง เพราะพี่แกอาบน้ำช้าแล้วก็กำลังแต่งตัวโดยมีตู้บังอยู่ทำให้พี่ตี๋ไม่เห็นเลยปิดประตูห้องเลย งานนี้เลยทำให้ตำรวจถูกขัง

 



วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๖


วันนี้ก็เข้าสู่วันที่สองของการฝึก แต่ก็เป็นวันแรกที่พวกเราทุกคนต้องตื่นแต่เช้ามืดโดยที่ทุกๆ คนถูกครูปลุกให้ตื่นตอนประมาณตีห้าครึ่ง หลังจากตื่นมาแล้วก็ต้องรีบทำภารกิจส่วนตัวให้เสร็จโดยเร็วเพื่อที่จะออกมาตั้งแถวหน้าเสาธงเพื่อรอการออกกำลังกายพร้อมกันดูโดยรวมแล้วทุกคนยังดูสดใสอยู่มากแต่อาจจะมีอาการเพลียเนื่องจากการวิ่งเมื่อวานนี้อยู่บ้าง พวกเราใช้เวลาในการออกกำลังกายประมาณครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไปทำความสะอาดตามจุดต่างๆ ที่ได้รับมอบหมาย เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไปทำความสะอาดร่างกายตามเวลาที่ครูกำหนดแล้วก็ไปรับกระทานอาหารเช้ากันโดยทุกคนในโต๊ะจะต้องร่วมกันรับผิดชอบอาหารทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะให้หมด
เมื่อเรียบร้อยจากอาหารเช้าพวกเราก็มารวมกันที่ห้องเรียน โดยวันนี้ก็มี ร.อ.ก้องเกียรติ มาแนะนำเกี่ยวกับหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ ให้พวกเราฟัง ซึ่งก็น่าสงสารพี่เค้าที่อุตสาห์เตรียม Power point มาอย่างดีแต่บังเอิญว่า Projecter ที่จะใช้ในการสอนถูกนำไปใช้งานที่อื่นซะก่อนแล้วก็เลยต้องดูภาพประกอบจากหน้าจอคอมพิวเตอร์แทน ตามโปรแกรมแล้วชั่งโมงต่อมา ก็จะเป็นการพบกับผู้บังคับการหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ แต่เนื่องจากท่านติดธุระก็เลยมีครูปกครอง (จำชื่อไม่ได้) เข้ามาพูดคุยกับพวกเราแทนก็ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆหลังจากนั้นพวกเราก็เตรียมตัวที่จะได้ออกไปทัศนศึกษานอกเกาะพระนี้เพื่อจะไปที่โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ เพื่อที่จะไปฟังการบรรยายของ น.ต.ธีติ วารินทร์ศิริกุล ซึ่งเป็นคุณหมอเวชศาสตร์ใต้น้ำ โดยท่านบรรยายเรื่องของสรรีศาสตร์ใต้น้ำ และโรคจากการดำน้ำ ซึ่งในวันนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีที่พวกเราได้มีโอกาสเห็นผู้ป่วยที่มีสาเหตุจากการดำน้ำ โดยผู้ป่วยรายนี้เป็นชายไทยอายุประมาณสามสิบกว่า มีอาชีพชาวประมงที่ได้ดัดแปลงวิธีการดำน้ำ เพื่อหาเลี้ยงชีพและครอบครัว โดยดำน้ำลึกประมาณ ๓๘ เมตร เพื่อที่จะไปหาหอยนานนับชั่งโมง แล้วก็มีการขึ้นลงหลายครั้ง โดยที่ไม่มีการพักเพื่อลดปริมาณไนโตรเจนในเลือด ทำให้เกิดอาการของโรค DCS โดยมีอาการเป็นอัมพาตช่วงล่าง ซึ่งคุณหมอก็บอกว่าต้องรักษาด้วยการให้ผู้ป่วยเข้า chamber แต่เนื่องจากตอนนี้เครื่องที่โรงพยาบาลมีปัญหา จึงมีการประสานงานมายังโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้าแทน
เสร็จจากที่โรงพยาบาลพวกเราก็เดินทางกลับมาที่เกาะพระ โดยกิจกรรมที่พวกเราจะต้องเจอคือการว่ายน้ำในทะเล และนับเป็นวันแรกสำหรับพวกเราที่มีโอกาสได้ลงทะเล แต่กว่าจะได้ลงก็ต้องวุ่นวายอยู่พักใหญ่เพราะต้องจัดเตรียมอุปกรณ์ให้กับทุกคนและก็มานั่งฟังครูอธิบายถึงวิธีการใช้อุปกรณ์ จนได้เวลาพวกเราก็เริ่มลงทะเลตรงบริเวณสันทราย(เนินชี) โดยพวกเราก็รวมกันที่ระดับน้ำตื้นก่อน เพื่อที่จะทำการฝึกให้คุ้นเคยกับอุปกรณ์อีกครั้ง แต่คงจะเป็นครั้งแรกสำหรับกลุ่มทหารเรือและเนื่องจากพวกเราเป็นกลุ่มนักเรียนที่มีจำนวนเยอะมากเวลาว่ายน้ำจึงมีการโบก fin โดนกันบ้างเป็นธรรมดา หลังจากนั้นก็เริ่มไปสู่บริเวณที่ลึกมากขึ้นก็ทำให้ได้รู้ว่าทหารเรือก็กลัวการจมน้ำเหมือนกัน เสร็จจากการว่าพวกเราก็มาฝึกการ clear mask ซึ่งก็นับว่าโชคดีที่พวกเราได้ผ่านการเรียนเบื้อง ต้นจากโรงเรียนนายเรือก่อนที่จะมาทำการฝึกในครั้งนี้งานนี้ก็เลยทำให้ส่วนใหญ่ผ่านไปได้อย่างสบาย มีเพียงส่วนน้อยที่ยังมีปัญหาครูก็ช่วยฝึกให้อีกที
จากนั้นพวกเราก็มาทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้และทำความสะอาดร่างกาย เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยพวกเราก็มาตั้งแถวรอที่หน้าโรงอาหารเพื่อที่จะทานข้าวเย็นกันวันนี้ดูว่าทุกคนจะกินข้าวกันได้มากขึ้นเพราะมีการใช้พลังงานกันมากขึ้น หลังจากทานข้าวเย็นเรียบร้อยแล้วพวกเราก็เข้ามาที่ห้องเรียนเพื่อที่จะเข้าเรียนเรื่องกฎของก๊าซ(ฟิสิกส์ใต้น้ำ) โดยมีครูบรรลุเป็นผู้สอนก็ใช้เวลาเรียนประมาณสองชั่วโมง ซึ่งก็มีการนั่งหลับในห้องเรียนบ้างแต่ครูก็มีการลงโทษโดยให้คนที่หลับยืนเรียน
พอเรียนเสร็จพวกเราก็มีโอกาสได้ไปนั่งพักผ่อนกันที่"สภา"ซึ่งเป็นร้านค้าสวัสดิการของ นสร. (หน่วยสงครามพิเศษทางเรือ) บางคนก็ใช้เวลาตรงนี้โทรศัพท์กลับบ้าน หาขนมกินกัน นั่งคุยกันบ้าง เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่พวกเราจะได้พักผ่อนกันจริงๆนอกเหนือจากเวลานอน อ้อลืมไปว่าก่อนที่พวกเราจะไปสภากันนั้นก็มีการสวดมนต์ แผ่เมตตา และร้องเพลงชาติที่หน้าเสาธง ซึ่งมันเป็นกิจวัตรประจำวันที่พวกเราทุกคน จะต้องทำและวันนี้พวกเราก็ได้รับคำสั่งให้มีการจัดเวรยามตลอดทั้งคืน โดยมีพี่เบิร์ด(๐๙) เป็นผู้จัดเวรให้พวกเรา เวลาประมาณสี่ทุมพวกเราก็ต้องกลับเข้าสู่ห้องนอนซึ่งวันนี้ก็ไม่มีบรรยากาศของสัปดาห์นรกเหมือนเมื่อวานอีกแล้วพวกเราก็หลับกันได้อย่างสบายจะมีก็แต่เพียงผู้ที่จะต้องทำหน้าที่เข้ายามเท่านั้นที่ยังไม่หลับ

 



วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๖


เช้านี้ก็ตื่นขึ้นมาตามปกติตอนประมาณตีห้าครึ่ง โดยเช้านี้สำหรับห้องนอนชายก็มีผู้ที่เข้าเวรทำหน้าที่ปลุกเพื่อน และเมื่อทุกคนตื่นขึ้นมาก็จะมีการทักทายกันด้วย "ฮูย่า"ซึ่งก็เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนจะต้องปฏิบัติเหมือนกับเป็นการกล่าวคำสวัสดีของพวกมนุษย์กบ นักทำลายใต้น้ำจู่โจม หรือ SEAL จากนั้นทุกคนก็ต้องรีบไปทำภารกิจส่วนตัว เพื่อที่จะต้องไปเข้าแถวที่หน้าเสาธงเพื่อที่จะออกกำลังกายตอนเช้าโดยวันนี้ก็มีพี่วิรัตน์(๑๒) ทำหน้าที่นำในการออกกำลังกาย ก็ถือเป็นการเรียกเหงื่อกันคนละเล็กละน้อย จากนั้นก็แยกย้ายกันไปทำความสะอาดรอบๆ อาคาร บก. ห้องน้ำชาย-หญิง ห้องพักครูปกครอง และห้องเรียน เมื่อทำงานกันเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไปทำความสะอาดร่างกายตนเอง และมารอรับการตรวจงานของครูเวรประจำวัน แล้วก็ไปรอทานข้าวเช้ากัน
หลังจากนั้นพวกเราก็เข้าห้องเรียน โดยวันนี้มีโปรแกรมที่พวกเราจะต้องเข้าห้องเรียนกันทั้งวันเลยตั้งแต่เช้ายันค่ำ โดยชั่วโมงแรกก็เป็นหน้าที่ของครุบรรลุที่มาสอนเรื่องต่อเนื่องจากเรื่องเมื่อคืนนี้พวกเราก็ต้องตั้งใจเรียนกันเป็นพิเศษเพราะหากว่าเผลอหลับมีหวังต้องโดนลงโทษแน่นอน ต่อจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของครูประยงค์ ที่เริ่มต้นการสอนด้วยแนวธรรมะ ทำเอาพวกเราอึ้งไปตามๆ กัน จากนั้นก็แทรกมาด้วยมุกฮาที่ออกจะมีแนวทะลึ่งปนมาบ้าง แต่ก็สร้างสีสันในห้องเรียนได้เป็นอย่างดี ทำให้ดูว่าการเรียนในห้องเรียนไม่น่าเบื่อ
ก็นั่งเรียนจนได้เวลาพักเที่ยงก็ลงไปทานข้าวเที่ยงกัน ก็ต้องมีการเหนื่อยกันเล็กน้อยก่อนการกินข้าวทุกมื้อเป็นประจำ แล้ววันนี้บรรยากาศในโรงอาหารค่อนข้างที่จะเข้มงวด เพราะมีครูบรรลุมาคอยคุม และสั่งให้พวกเรากินข้าวให้เสร็จภายใน ๑๐ นาที ทำให้พวกเราต้องเร่งรีบกันอย่างมาก แทนที่จะกินกันแบบอิ่มกลับเป็นอาการจุกแทน เพราะทุกอย่างเมื่อเข้าปากแทบจะไม่มีการเคี้ยวกันเลย โดยเฉพาะขนมที่วันนี้เป็นสาคู ก็กลืนลงคอไปเลย ซึ่งก็คิดว่าหลายคนคงจะเป็นแบบนี้เช่นกัน แต่ที่หน้าสงสารเห็นจะเป็น หัวหน้าของพวกเรา พี่ดู๋(๐๑) ที่จะต้องอิ่มก่อนเวลาที่ครูกำหนด เพื่อที่จะต้องคอยตรวจดูความเรียบร้อยและควบคุมพวกเราตามระเบียบทหาร พอทุกคนกินเสร็จ ก็มาตั้งแถวรวมกันที่หน้าโรงอาหาร เพื่อที่จะกล่าวคำปฏิญาณตามปกติ และมีการสำเร็จโทษผู้ที่กระทำผิดในโรงอาหาร
เสร็จแล้วพวกเราก็กลับมาเข้าห้องอีกครั้ง ก็ยังเป็นการสอนของครูประยงค์ตามเคย ซึ่งก็สร้างบรรยากาศอันสนุกสนานในห้องเรียนเช่นเคย และในวันนี้ก็มีการเปิดตัวของสาวผู้ที่มีทั้งความสวยและความสามารถ จนเป็นขวัญใจของครูประยงค์และกลุ่มเพื่อนนักเรียนด้วยกันคือ พี่กรรณ(๕๕) และนับแต่นั้นเป็นต้นมาก็จะโดนแซวตลอด เมื่อต้องเจอครูประยงค์ และเนื่องจากว่าวันนี้ พวกเราอยู่แต่ในห้องเรียนทั้งวัน ครูเลยเปลี่ยนบรรยากาศให้มานั่งเรียนใต้ต้นไม้ก็ดีไปอีกแบบ คล้ายๆกับการมานั่งฟังผู้ใหญ่อบรมบ่มนิสัย และเพราะเนื่องจากวันนี้พวกเราไม่มีการเสียเหงื่อกันเลย ดังนั้นหลังเลิกเรียน ครูบรรลุก็ดำเนินการสั่งให้พวกเราวิ่งออกกำลังกายรอบสันทราย(เนินชี) เพื่อเป็นการเรียกเหงื่อ และน้ำย่อย เพราะหลังจากวิ่งเสร็จ พวกเราก็มาเตรียมตัวกินอาหารเย็นกัน และมื้อนี้ก็ต้องเร่งการกิน ตามเวลาที่ครูกำหนดอีกแล้ว (น่าจะนึกออกนะว่าใครมาคุม)
หลังจากนั้น พวกเราก็ต้องกลับมาเข้าห้องเรียนอีกครั้ง โดยมีครูสากลมาทำหน้าที่สอนพวกเราให้รู้เกี่ยวกับอุปกรณ์ที่ใช้ในการดำน้ำ ซึ่งก็มีมากมายหลายรูปแบบ แล้วแต่จะเลือกใช้ แต่โดยรวมแล้วก็มีหลักการทำงานคล้ายกัน แล้วก็ตามมาด้วยการสอนของครูชยานันท์ ที่มาสอนในเรื่องของสัญลักษณ์ต่างๆ ที่จะต้องนำไปใช้เวลาอยู่ใต้น้ำ กว่าจะสิ้นสุดการเรียนในวันนี้ ก็เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว พวกเราก็ต้องรีบไปอาบน้ำ เนื่องด้วยมีการนัดหมายว่าเวลาสี่ทุ่มครึ่ง จะต้องมาสวดมนต์ที่หน้าเสาธง เมื่อเสร็จขั้นตอนนี้แล้ว พวกเราก็ต้องไปช่วยกันเตรียมอุปกรณ์ ที่จะต้องนำไปใช้ที่สระน้ำในวันพรุ่งนี้ เช่น ถังอากาศทั้งชนิดคู่และเดี่ยว เสื้อชูชีพ เข็มขัดตะกั่ว เป็นต้น หลังจากนั้นพวกเรา ก็แยกย้ายกันไปเข้านอน และก็ต้องมาทำหน้าที่เข้าเวรยาม

 



วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๔๖


ก็เหมือนกับทุกเช้าที่จะทุกคนจะต้องตื่นนอนตอนดีห้าครึ่ง แล้วก็รีบทำภารกิจส่วนตัวเพื่อที่จะต้องมาเข้าแถวเพื่อรอออกกำลังกายยามเช้า โดยวันนี้นำโดยพี่วิรัตน์อีกเช่นเคย วันนี้ก็ไม่ได้ใช้เวลานานมากนักเพราะวันนี้ตามโปรแกรมพวกเราจะต้องไปฝึกที่สระว่ายน้ำซึ่งก็จะเป็นการไปศึกษานอกเกาะพระอีกแล้วดังนั้นทุกอย่างวันนี้จึงค่อนข้างที่จะเร่งรีบ โดยเฉพาะการทานอาหารเช้าอีกแล้วที่พวกเราต้องรีบ ส่วนการอาบน้ำในตอนเช้านั้นไม่ต้องพูดถึงหมกกันเป็นธรรมดาโดยเฉพาะผู้หญิงที่ปกติจะอาบน้ำช้าก็เลยต้องหมกเช่นกัน
จากนั้นพวกเราก็ช่วยกันยกอุปกรณ์ที่จะต้องใช้ไปลงเรือ โดยเฉพาะพวกผู้ชายที่จะต้องช่วยกันแบกถังคู่ที่มีน้ำหนักมากเหลือเกินเล่นเอาเดี้ยงไปตามๆกัน ส่วนผู้หญิงก็ช่วยขนอุปกรณ์ที่พอจะยกกันได้มันก็ต้องอย่างนั้นแหละนะเมื่อมาเป็นรุ่นเดียวกันแล้วก็ต้องช่วยกันคนละไม้ละมือ เมื่อทุกอย่างพร้อมพวกเราก็ออกเดินทางจากเกาะพระก็มีเสียง "ฮูยา" เป็นการเอาฤกษ์ก่อนออกเดินทาง แล้วพวกเราก็ต้องช่วยกันขนของขึ้นรถอีกทีกว่าจะเสร็จ ก็ถือว่าเป็นการวอร์มก่อนการลงสระเหมือนกันนะเนี่ย จากนั้นก็เป็นเวลาที่พวกเราเริ่มเคลื่อนขบวนกันซิที โดยบรรยากาศภายในรถดูจะครึกครื้นเป็นพิเศษมีการร้องเพลงกันอย่างสนุกสนานและมีแดนเซอร์ประกอบด้วยนำโดยเจ๊หน่อย(๖๑), ต๊อป(๒๐),โอ๊ด(๔๒) และก็มีพี่ทหารเรืออีกหลายคนอาทิ ๑๙ จ.อ.ณรงค์ศักดิ์ คงทอง ที่พยายามจะร่วมสร้างบรรยากาศบนรถไม่ให้น่าเบื่อ
และแล้วเราก็เดินทางมาถึงยังหอฝึกดำน้ำ แต่วันนี้เรายังไม่ใช้ ครั้งนี้เพียงแต่มาใช้บริการของสระว่ายน้ำเท่านั้น พวกเราถูกแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ เพื่อที่จะได้สะดวกในการสอนของครู ครูประยงค์ก็ทำหน้าที่อธิบายถึงวิธีการ และรูปแบบที่เราจะต้องเรียนในวันนี้ เมื่ออธิบายเสร็จพวกเราก็แยกไปตามกลุ่มที่ครูแบ่งไว้ให้ โดยมีครูเมธีและครูชัยนันท ์เป็นผู้ทำหน้าที่สอน โดยในส่วนของครูชัยนันท์นั้น จะสอนเกี่ยวกับเรื่องของการใช้อุปกรณ์แบบ Back pack และในส่วนของครูเมธีก็จะสอนในเรื่อง BCD โดยในแต่ละกลุ่ม ก็จะแบ่งเป็นกลุ่มย่อย เพื่อที่จะต้องผลัดเปลี่ยนกันเป็นคนปฏิบัติ และเป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือ ในการแต่งตัวให้กับนักดำน้ำ โดยที่เนื้อหาในการเรียนวันน ี้ก็เพื่อที่จะให้นักเรียนได้เรียนรู้ถึง วิธีการแต่งตัวกับอุปกรณ์แบบต่างๆ ซึ่งก็จะต้องมีขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อตัวนักดำน้ำเอง โดยที่เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้ว ก็จะต้องมารายงานตัว เพื่อตรวจความเรียบร้อยว่า "Dive sup. Check" "นักเรียนดำน้ำเพื่อการอนุรักษ์........ หมายเลข....... พร้อมรับการตรวจ" เมื่อผ่านการตรวจ ก็จะไปรอเพื่อที่จะลงสระ แต่หากมีข้อผิดพลาดจากการแต่งตัว ก็ต้องมีออกแรงแลกกับจุดที่ผิดจุดละ ๑๐ ครั้ง สำหรับการลงสระวันนี้ก็เพื่อที่จะให้นักเรียนคุ้นเคยกับการใช้อุปกรณ์และชุดที่ใช้ มีการช่วยกันเช็คของคู่บัดดี้ ฝึกการเคลียร์หน้ากากใต้น้ำโดยในแต่ละกลุ่มใหญ่ก็จะหมุนวนสลับกันในช่วงเช้า
จนกึงเวลาพักเที่ยงวันนี้พวกเราก็มีข้าวกล่องมากินกัน ก็กินกันได้อย่างสบาย ทุกคนก็พยายามกินกันเยอะเพราะว่ายน้ำมาเหนื่อย โดยเฉพาะในกลุ่มของครูชยานันท์ หลังจากนั้นก็มาเริ่มฝึกกันต่อในภาคบ่ายโดยสลับกลุ่มกับของเมื่อเช้านี้ ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือเปล่า สำหรับกลุ่มที่มาเจอครูชัยนันท์ในช่วงบ่าย เพราะในระหว่างรอกลุ่มที่ฝึกดำอยู่ กลุ่มพี่เลี้ยงก็โดนสั่งให้ว่ายน้ำในรูปแบบต่าง ๆ เริ่มด้วยการว่ายแบบใส่ฟินโดยไม่ใช้แขน การว่ายแบบใส่ฟินและใช้แขน ก็ว่ายวนอยู่หลายรอบ เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน จนมาถึงช่วงสุดท้าย ที่พวกเราว่ายฟรีสไตล์กันอย่างเต็มที่ เพราะครูบอกจะเอาคนที่ช้า แต่ก็ยังโดนหลอกให้ว่ายอีกหลายรอบ พอมาถึงรอบสุดท้ายจริงๆ พวกเราก็ได้พบว่าในกลุ่มมีนักว่ายน้ำที่แข็งแรงมาก คือพี่ต้อม(๔๐) คือว่าพี่แกเล่นออกตัวมาก่อนใครเลย ขณะที่คนอื่นกำลังฟังครูอธิบายอยู่ และพยายามเรียกแล้ว แต่ก็สายไปเพราะพี่เค้าแตะขอบสระไปก่อน ครูเลยสั่งให้ว่ายกลับมาเริ่มต้นใหม่ เลยทำให้พี่ต้อมว่ายน้ำได้มากกว่าคนอื่นๆ เมื่อเสร็จสิ้นการฝึก พวกเราก็ช่วยกันขนอุปกรณ์เก็บนับว่าโชคดีมาก ที่ไม่ต้องขนกลับมาที่เกาะพระ เพราะว่าพรุ่งนี้เราต้องมาที่นี่อีกครั้ง และที่นี่ก็มีเครื่องอัดอากาศพร้อมอยู่แล้ว เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเราก็ออกเดินทางกลับมาที่เกาะพระ ความสนุกสนานในรถยังคงมีให้เห็นอีกเช่นเคย แม้ว่าวันนี้จะเหนื่อยกันมาบ้างก็ตามแต่เพื่อมิตรภาพอะไรก็เกิดขึ้นได้ เมื่อมาถึงเกาะก็จัดแจงเก็บอุปกรณ์ส่วนตัวและเตรียมตัวกินอาหารเย็น
จากนั้นก็แยกย้ายกันไปทำความสะอาดร่างกายแล้ว วันนี้พวกเราก็นัดกันที่จะมาตกลงกันในเรื่องของชื่อรุ่น เพลงประจำรุ่น ของที่ระลึกที่จะมอบให้กับทางโรงเรียน ซึ่งผลก็ออกมาว่าพวกเราจะใช้ชื่อรุ่นว่า Octopus และมีเพลงประจำรุ่นคือ เพลงทะเลใจ และเรื่องของที่ระลึกนั้นก็ตกลงกันว่าจะซื้อ Printer ให้กับทางโรงเรียน ส่วนเรื่องการทำเสื้อและหนังสือรุ่นนั้น ก็ยังตกลงกันไม่ได้ก็เอาไว้เป็นวันหลัง และเนื่องจากวันนี้ก็เริ่มดึกและเพลียกันบ้างก็เลยเลิกประชุมและแยกย้ายกันไปเข้านอน

 



วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๔๖


วันนี้พวกเราตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์ฝืดๆ นิดหน่อย เนื่องจากยังมีอาการเพลียจากเมื่อวานนี้อยู่บ้าง โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องฝึกกับครูชยานันท์ในช่วงบ่ายไม่รู้ว่าคนอื่นจะมีอาการอย่างนี้บ้างหรือเปล่า เมื่อตั้งแถวหน้าเสาธงกันเรียบร้อยแล้วก็เริ่มการออกกำลังกายเพื่อเป็นการวอร์มก่อนที่จะไปลงสระ หลังจากนั้นก็ไปกินข้าวเช้ากัน ซึ่งวันนี้ก็พยายามกินกันอย่างเต็มที่เพื่อที่จะรับมือกับการฝึกในวันนี้ แล้วก็ถึงเวลาออกเดินทางจากเกาะพระ โดยพวกเราก็ยังคงสนุกสนานกันเช่นเคย โดยมีต้นเสียงนำขึ้นเพลงอย่างพี่ตี๋ พี่โต พี่รัตน์ และอีกหลายคนและหลายคนก็เริ่มที่จะจับตามองมายังแดนเซอร์(คงจะรู้นะว่าคือใคร) ที่วันนี้ก็ยังสนุกกันเต็มที่ และพยายามที่จะกระตุ้นให้คนอื่นร่วมสนุกกันด้วย และเมื่อพวกเรามาถึงก็แบ่งกลุ่มเหมือนเมื่อวานนี้ โดยพวกเราต้องจัดเตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างให้พร้อม ก่อนที่ครูจะมาเช็ค โดยในวันนี้ก็เป็นการเรียนเกี่ยวกับเรื่อง Buddy breathing แล้วก็การถอดชุดและแต่งตัวใต้น้ำทั้งแบบ Back packและ BCD โดยสลับกันในภาคเช้าและบ่าย สำหรับในการฝึกด้วยการใช้ BCD ดูแล้วจะทำกันด้วยความยากลำบาก เพราะเนื่องจากชุดที่มีน้ำหนักเบาและถังอากาศใบเดียว ก็เลยมีปัญหาในการจัดวางอุปกรณ์ใต้น้ำ ทำให้หลายคนต้องใช้เวลานานในการฝึกขั้นตอนนี้ และก็มีหลายคนที่ไม่สามารถจะฝึกได้สำเร็จครูก็เลยแยกไปติวเข้มให้เป็นพิเศษ ซึ่งหลายคนมีความตั้งใจอย่างมาก ที่จะทำให้สำเร็จเหมือนกับเพื่อนซึ่งก็สามารถทำได้สำเร็จเช่นกัน แม้ว่าจะใช้เวลานานเป็นพิเศษ
จนถึงเวลาพักเที่ยงพวกเราก็ได้กินข้าวกล่องเหมือนเมื่อวานนี้แต่บรรยากาศก็ดูสนุกสนานมากขึ้นอาจจะเป็นเพราะพวกเรามาใช้ชีวิตร่วมกันนานมากขึ้นแล้วจึงเกิดความสนิทกันมากขึ้น มีการแซวกัน มีการช่วยเหลือกันมากขึ้นก็นี่แหละนะคือคำว่ามิตรภาพแห่งความเป็นเพื่อน หลังจากนั้นพวกเราก็สลับกลุ่มกันฝึกอีกเช่นเคย สำหรับการฝึกด้วย Back pack ดูเหมือนว่าหลายคนจะผ่านตรงนี้ได้อย่างสบาย จะมีก็แต่เพียงว่าน้ำหนักของถังที่จะทำให้ยกมาใส่ได้ลำบากแม้ว่าจะมีแรงลอยตัวในน้ำช่วยอยู่บ้างก็ตาม วันนี้ครูชยานันท์ก็ไม่ได้สั่งให้พวกเราทำอะไรมากมาย เพียงแค่การว่ายน้ำกันเล็กน้อย เพราะว่าวันนี้เรามีเวลาจำกัด เมื่อฝึกเสร็จก็ช่วยกันเก็บของและเดินทางกลับมาที่เกาะพระ โดยครูประยงค์ก็มาอธิบายถึงการฝึกของพวกเราที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไรบ้าง มีข้อผิดพลาดอะไรบ้าง หลังจากนั้นก็เป็นเวลาที่พวกเราจะได้พบกับท่านผู้บังคับการหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ ซึ่งดูแล้วท่านน่าเกรงขามมาก บุคลิกของทหารมีอยู่ในตัวท่านอย่างชัดเจน ในวันนี้ท่านก็มาพูดคุยกับพวกเราอย่างเป็นกันเอง ก็มาเล่าเรื่องเกี่ยวกับ ความน่าเกรงขามของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คู่กับเกาะพระ และอีกหลายเรื่องที่ดูแล้ว ก็คล้ายกับว่ามาเล่าเรื่องราวเก่าๆ ให้กับพวกเราฟังดูแล้วก็น่าสนใจดีซึ่งท่านก็ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่งโมงเห็นจะได้
หลังจากนั้นพวกเราก็มาออกกำลังกายยามเย็นกันเล็กน้อย เพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนเวลาอาหารเย็น แม้ว่ามันจะทำให้พวกเราเหนื่อยกันก็ตาม แต่ก็คิดว่าเป็นสิ่งดีสำหรับร่างกายของพวกเราทุกคน ที่จะต้องพยายามรักษาร่างกายให้แข็งแรงไว้ เพราะเวลาไปดำน้ำนั้นจะต้องใช้พลังงานอย่างมากยิ่ง หากเป็นการดำเพื่อที่จะต้องทำงานด้วยแล้ว คงจะเหนื่อยกว่าการดำน้ำเที่ยวเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นก็เป็นเวลาอาหารเย็นที่ดูแล้ววันนี้ทุกคน จะเจริญอาหารเป็นอย่างมากเนื่องจากเหนื่อยกับการฝึกในวันนี้ แต่สำหรับบรรยากาศบนโต๊ะอาหารของเราออกจะสนุกสนานเป็นพิเศษเพราะเวลาที่ครูเผลอพวกเราก็จะมีการชนแก้วกันแล้วก็ยกกันหมดแก้วเลย และที่มาในมาดนิ่มๆ ต้องยกให้พี่ตี๋เนื่องด้วยพี่เค้าคงจะยังไม่อิ่ม เวลาพี่เค้าจะเติมข้าวก็จะบอกเพื่อนร่วมโต๊ะว่า "ขออนุญาตเบิ้ล ฮูยา" เล่นเอาคนในโต๊ะแทบจะสำลักข้าวแน่ะ ก็เป็นอีกบรรยากาศหนึ่งที่ช่วยคลายเครียดให้กับพวกเรา
พอเสร็จจากข้าวเย็น พวกเราก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำ แล้วก็ไปนั่งพักผ่อนกันตามอัธยาศรัยกันที่สภา(ร้านสวัสดิการ นสร.) ดูแล้วทุกคนก็มีความสุขกับการได้มานั่งพักผ่อน หาขนมกินกัน และที่สำคัญคือการได้มานั่งคุยกันซึ่งก็เป็นบรรยากาศที่ดูสนิทกันมากขึ้นจริงๆ และที่สำคัญก็มีบางกลุ่ม ที่มีการจับกลุ่มนินทา และคอยสังเกตพฤติกรรมของเพื่อนในรุ่น ที่เริ่มมีบางสิ่งบางอย่างให้พวกเราสงสัย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผลจะออกมาอย่างไร ก็ต้องคอยติดตามกันต่อไปเพราะยังมีเวลาให้ศึกษากันอีกหลายวัน พวกเราก็สนุกกันจนถึงเวลาที่ครูกำหนดก็ไปสวดมนต์และเข้านอน เป็นอันว่าก็หมดไปอีกวัน

 



วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๔๖


วันนี้ก็ตื่นนอนตามปกติ แต่ที่มีพิเศษสำหรับเช้านี้ก็คือ พวกเราจะต้องข้ามฟากเรือเพื่อที่จะไปออกกำลังกายกัน โดยมีครูประยงค์และครูบัณฑิต เป็นผู้ดูแลพวกเรา ซึ่งการออกกำลังในวันนี้ก็เน้นที่การวิ่งเป็นหลัก โดยเริ่มวิ่งจากท่าเรือไปเรื่อยจนสุดขอบเขื่อน ที่มีเรือรบหลวงจอดอยู่หลังจากนั้น ก็วิ่งกลับมาที่สนามเพื่อที่จะมาเล่น PTกันต่อ งานนี้เล่นเอาเหงื่อโทรมไปตามๆกัน จากนั้นก็กลับมาที่เกาะเพื่อที่จะแยกย้ายกันไปทำความสะอาดตามจุดที่รับผิดชอบและอยู่รอครูเวรประจำวันมาตรวจความเรียบร้อยอีกทีเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไปทำความสะอาดร่างกายแล้วก็มารอทานอาหารเช้า และตามโปรแกรมวันนี้พวกเราจะต้องเข้าห้องเรียนตลอดทั้งวันอีกแล้ว
เรื่องแรกที่เรียนก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับ พระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมทางทะเลโดยเป็นอาจารย์นายทหารเรือ นาวาเอก วิชา สุทธิวาณิช หลังจากนั้นก็มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยบูรพา คือ อ.พิชัย ก็มาสอนเรื่องระบบนิเวศน์วิทยาและสิ่งแวดล้อม เป็นธรรมดาสำหรับบรรยากาศในห้องเรียน ที่จะต้องมีการหลับในห้องเรียนโดย เฉพาะพวกเราจะมีก็ส่วนน้อยที่ยังตั้งหน้าตั้งตาเรียน เพื่อไม่ให้ผู้สอนรู้สึกเสียใจ จนถึงเวลาอาหารเที่ยงก็ลงมาตั้งแถวหน้าบาร์เดี่ยวเพื่อออกกำลังเรียกน้ำย่อยตามปกติและต่อด้วยการร้องเพลงประจำรุ่นแต่คราวนี้ใช้เพลงเดินหน้าแทน เสร็จแล้วก็เข้าสู่โรงอาหารมื้อบรรยากาศดูเข้มๆ เพราะมีครูสมชาติเป็นครูปกครองแล้ว พวกเราก็ถูกสั่งให้มาเริ่มต้นทำทุกอย่างใหม่ เพราะเวลาเข้าโรงอาหารแล้วเสียงดังกันมาก กว่าจะได้กินกันก็หิวกันสุดๆ เลยแล้วยังจะมาจำกัดเวลาในการกินอีก ทำให้ต้องรีบโกยทุกอย่างเข้ากระเพาะ
สำหรับโปรแกรมในช่วงบ่ายพวกเราจะได้ออกไปนอกสถานที่อีกแล้ว โดยคราวนี้พวกเราจะได้ไปกันที่โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตต์เพื่อที่นะไปฟังบรรยายเรื่อง การช่วยเหลือผู้หมดสติ(CPR) โดยวันนี้พวกเราดูจะครื้นเครงเป็นพิเศษในช่วงระหว่างการเดินทางเพราะมีการร้องเพลงและมีการลุกขึ้นมาเต้นมากกว่าเดิม ก็ยังมีส่วนน้อยที่อาศัยเวลาบนรถ เป็นช่วงเวลาพักผ่อนหลับนอน พอไปถึงโรงพยาบาลตอนแรกก็คิดว่าคงจะหน้าเบื่อ เพราะจะต้องนั่งฟังบรรยายอย่างเดียวแต่ปรากฏว่า มีภาคปฏิบัติมาให้พวกเราได้เล่นสนุกกันด้วย โดยพวกเราได้ฝึกการปั๊มหัวใจ และการฝายปอดจากหุ่นยางจำลอง หลายคนคงจะเสียดายนึกว่าจะได้ปฏิบัติกับคนจริงๆ แต่พวกเราก็ตั้งใจฝึกกันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะพวกผู้ชายที่ดูจะขยันเป็นพิเศษเวลาที่มีพยาบาลสาวสวยมาช่วยสอน หลังจากสนุกกันมานานก็ถึงเวลาที่ต้องเดินทางกลับ วันนี้ก็มีการแวะที่ตลาดเพื่อที่จะให้ผู้แทน ลงไปซื้อขนมและผลไม้ไว้ให้พวกเรากินกัน เมื่อมาถึงเกาะพระ บรรยากาศของความสนุกจากเมื่อสักครู่ก็เริ่มลดลง เพราะครูปกครองที่คอยมาคุมเข้ม ก็ต้องไปเสียเหงื่อก่อนการกินข้าวเย็น ซึ่งก็ต้องกินข้าวกันในเวลาที่ครูกำหนดอีกแล้ว หลังจากอิ่มกันแล้ว ก็ไปเข้าห้องเรียนเพราะบอกครูว่าจะขอเวลาเพื่อที่จะประชุมรุ่น แต่โดยส่วนมากจะเป็นการเข้ามานั่งคุยกันมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อเวลายิ่งนานก็ยิ่งจะคุยกันถูกคอมากขึ้น
แล้ววันนี้ก็มีโปรแกรมพิเศษแทรกมาคือ ท่านผู้บังคับการหน่วยสงครามพิเศษทางเรือได้เข้ามาพูดคุยกับพวกเรา โดยวันนี้ท่านก็พูดกึงเรื่องความหลังของ หน่วยสงครามพิเศษทางเรือ และก็มีประวัติโดยย่อของสมเด็จพระเจ้าตากสินที่ทรงช่วยกอบกู้เอกราชของขาติไทยไว้ ก็เลยทำให้รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของบูรพกษัตริย์ไทย ท่านก็ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ หลังจากนั้นพวกเราก็ไปนั่งพักผ่อนกันทีสภา ก็มีการจับกลุ่มคุยกันตามอัธยาศรัยหาของกินกันบ้าง แต่สิ่งที่ทุกๆคนจะมีคล้ายๆ กันก็คือเวลาที่มีการถ่ายรูป ไม่ว่าอยู่ตรงไหน ก็พยายามวิ่งเข้ามาร่วมด้วยเสมอดูแล้วก็สนุกดี พอได้เวลาที่จะเข้านอน ก็ต้องมาสวดมนต์ที่หน้าเสาธงกันก่อนแล้วถึงจะแยกย้ายกันไปนอน

 



วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๔๖


เช้านี้ก็ตื่นขึ้นมาตามปกติ แต่ก็มีสิ่งแปลกใหม่ขึ้นมาก็คือวันนี้มีการแต่งตั้งผู้ที่จะมาทำหน้าที่หัวหน้านักเรียนประจำวันแทนพี่ดู๋ ซึ่งคนแรกที่มาทำหน้าที่นี้ก็คือ คุณหนึ่ง(๒๑) ก็คงจะรู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดาที่จะต้องมาทำหน้าที่คุมเพื่อนๆในรุ่นในระบบทหารด้วย หลังจากรวมแถวกันพร้อมแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องออกกำลังกาย วันนี้ก็เป็นการวิ่งรอบสนามหน้าโรงเรียนหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ งานนี้คนที่ดูหน้าสงสารก็เห็นจะเป็นน้องโน๊ต(๔๘)ที่มีอาการเจ็บขาแต่ก็พยายามที่จะวิ่งตามเพื่อนแต่เนื่องจากสังขารไม่ให้ก็เลยต้องงดวิ่งแต่ออกกำลังด้วยวิธีอื่นแทนก็มีหลายคนที่อยากจะเข้ามาช่วยดูแลน้องโน๊ตเหลือเกินก็คงจะต้องแข่งกันสะสมคะแนนหน่อยนะ อีกคนที่ดูจะเหนื่อยกับการวิ่งคือคุณฝน(๕๔) ที่ดูว่าจะหมดแรงกับการวิ่งทุกๆ ครั้ง อาจจะเป็นเพราะต้องแบกรับน้ำหนักที่ค่อนข้างมากหรือเปล่าก็ไม่รู้ เมื่อวิ่งเสร็จก็มาเล่น PT ตามปกติก็ได้เรียกเหงื่อกันบ้างเล็กน้อย เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไปทำความสะอาดตามที่ได้รับมอบหมายทุกๆวันแล้วก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำเพื่อที่จะมารอทานอาหารเช้าซึ่งเมนูอาหารก็คล้ายๆกันแทบทุกวันและที่มีพิเศษเพิ่มเติมก็คือ ไข่ต้ม และนม ที่จะต้องมีให้พวกเรากินทุกเช้า
วันนี้พวกเราจะต้องไปเรียนที่หอดำน้ำอีกครั้งดังนั้นพอกินข้าวเสร็จก็ไปเตรียมอุปกรณ์ส่วนตัว แล้วก็เริ่มออกเดินทางกันบรรยากาศบนรถก็ยังมันส์เหมือนเดิมโดยหลายคนก็พยายามที่จะมากระตุ้นให้แกงค์๓ซ่าส์ออกอาการอยู่เสมอ เล่นเอาเหนื่อยพอสมควรแต่ก็ถือเป็นการวอร์มก่อนการลงสระ สำหรับในวันนี้พวกเราก็ถูกแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆเพื่อที่จะแบ่งกันฝึก โดยจะเรียนกันในเรื่องของการแก้ไขสภาวะฉุกเฉินใต้น้ำ โดยครูจะให้เราดำลงไปแล้วครูก็จะทดสอบพวกเราด้วยการปิดถังอากาศเพื่อให้เราสามารถฝึกการเปิดถังอากาศใต้น้ำได้เอง ถอดFin, mask และ mouth piece แล้วให้เราเอามาใส่ให้อยู่ในที่เดิมเล่นเอาหลายคนตื่นเต้นเหมือนกัน บางคนก็ทะลึ่งโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำก็ต้องลงไปสอบใหม่ หรือบางคนก็มีการสู้กับครูเพื่อไม่ให้เข้ามาดึงอุปกรณ์ออกไป หลังจากนั้นก็ไปฝึกการทำ Free ascend ในสระก่อนโดยหลายคนก็ผ่านตรงนี้ได้อย่างสบาย จากนั้นก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยคือการได้ขึ้นไปใช้หอดำน้ำที่มีราคาหลายสิบล้านบาท โดยพวกเราจะขึ้นไปบนหอที่ละ ๒ คู่ แล้วก็ดำลงไปที่กันกังซึ่งลึกประมาณ ๓๐ ฟุตเพื่อที่ฝึกการclear mask และ mouth piece จากนั้นก็ขึ้นมาที่ระดับ ๑๕ ฟุตเพื่อที่จะเตรียมตัวทำ Free ascend ขึ้นมาโดยพวกเราจะต้องสูดอากาศให้เต็มปอดแล้วก็คาย mouth piece ออกจากนั้นก็ค่อยๆตี fin ขึ้นมาพร้อมกับระบายอากาศออกทางปากจนขึ้นสู่ผิวน้ำ ซึ่งหลายๆคนก็ผ่านมาได้อย่างสบายมีเพียงส่วนน้อยที่เกิดปัญหาขึ้นก็คือมีเลือดกำเดาออกซึ่งเป็นเพราะขึ้นเร็วเกินไป
เสร็จแล้วก็เป็นเวลาพักกินข้าวเที่ยงพอดีแล้วก็เตรียมตัวที่จะฝึกต่อในภาคบ่ายซึ่งเป็นโปรแกรมของครูชยานันท์ซึ่งพอทุกคนรู้ก็พยายามกินกันเต็มที่เพราะคิดว่าจะต้องเหนื่อยกันแน่นอน โดยเรื่องที่เราจะเรียนกันก็คือเรื่อง Life saving ขั้นแรกพวกเราก็ต้องฝึกการลอยตัวในน้ำงานนี้เล่นเอาหลายคนเกือบจมน้ำ เช่น พี่ตี๋ม, พี่๐๘ และนายหนึ่ง(๒๑) แต่ครูก็ไม่ยอมให้ขึ้นจากสระบอกให้ฝึกต่อ หลังจากนั้น ก็ต่อด้วยการฝึกกระโดดน้ำทั้งท่า stride jump พุ่งหลาว ก็โดดขึ้นลงกันหลายรอบ และก็ต่อด้วยการฝึกว่ายน้ำด้วยท่า ฟรีสไตล์คอตั้ง กบคอตั้ง และ side stroke กว่าจะเสร็จตรงนี้ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน และเมื่อไม่ให้เสียชื่อครูชัยนันท์ที่จะต้องมีอะไรมาให้พวกเราเหนื่อยอยู่แล้ว โดยปิดท้าย ด้วยการให้พวกเรากระโดดลงสระ แล้วว่าด้วยท่าฟรีสไตล์คอตั้งครึ่งสระ แล้วก็ต่อด้วยท่ากบคอตั้ง กว่าจะแตะขอบสระได้ก็ลิ้นห้อยเลย หลังจากนั้นพวกเราก็ช่วยกันยกอุปกรณ์ทั้งหมดขึ้นรถ เพื่อที่จะเอามาเก็บที่เกาะพระ เพื่อที่จะเตรียมไว้ลงทะเลในวันต่อไป พอกลับมาถึงเกาะคิดว่าจะได้พัก ก็ต้องมาโดนลงโทษให้วิดพื้น(Push up), Back flutter kick แล้วก็โหนบาร์เดี่ยวก่อนที่จะได้กินข้าวเย็น เสร็จแล้วก็รีบไปอาบน้ำเพื่อที่จะต้องมาเข้าห้องเรียนเพื่อที่จะมาฟังครูประยงค์ มาอธิบายการฝึกในวันนี้ และแผนการฝึกในวันพรุ่งนี้ เสร็จจากตรงนี้พวกเราก็ไปพักผ่อนกันที่สภาอีกเช่นเคย และวันนี้พวกเราก็ได้ร่วมฉลองวันเกิดให้กับพี่ภู โดยพี่ภูก็เหมาไอศกรีมในสภาให้พวกเราทุกคนได้กินกัน หลังจากนั้นก็ไปตั้งแถวเพื่อสวดมนต์แล้วก็กลับเข้าห้องนอน

 



วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๔๖


วันนี้ก็มีสิ่งที่สร้างความภาคภูมิใจ ให้กับชาวนักเรียนอนุรักษ์ ด้วยการที่พวกเรามีหัวหน้านักเรียนเป็นผู้หญิงคนแรกคือ เจ๊นอง(๔๙) ซึ่งก็สามารถทำหน้าที่ได้อย่างดีแม้ว่าจะมีการติดขัดบ้างก็ตามเนื่องด้วยเพราะเราเป็นพลเรือนไม่มีประสบการณ์ที่จะต้องมาออกคำสั่งแบบทหาร วันนี้หลังจากตื่นนอนมาแล้ว ก็มาออกกำลังกายหน้าเสาธงตามปกต ิแต่วันนี้ก็ใช้เวลาไม่นานนัก เพราะเนื่องจากว่าพวกเราจะต้องเตรียมตัวที่จะดำน้ำในทะเล
หลังจากเสร็จจากการออกกำลังกาย พวกเราก็รีบไปช่วยกันขนอุปกรณ์ต่างๆ ที่จะต้องใช้โดยเฉพาะการขนถังอากาศชนิดคู่ ที่หลายคนเริ่มมีการบ่นว่า เริ่มมีอาการปวดเมื่อยจากการยกถังแต่ทุกคนก็ช่วยกันอย่างเต็มที่ ส่วนของผู้หญิงก็พยายามที่จะช่วยเหลือผู้ชายด้วยการแบกถังอากาศชนิดถังเดี่ยวด้วยตัวเองก็ช่วยกันจนเสร็จงานแล้วก็ไปกินข้าวเช้ากัน วันนี้ทั้งหมดก็ไม่มีการอาบน้ำตอนเช้า เพราะว่าวันนี้จะต้องเปียกน้ำกันทั้งวัน หลังจากนั้นก็มานั่งฟังครูประยงค์อธิบาย ถึงวิธีการปฏิบัติของพวกเราในวันนี้ โดยพวกเราจะถูกแบ่งเป็นคู่บัดดี้ ตามเลขที่โดยแต่ละคู่จะมี Buddy line ซึ่งเป็นเชือกที่เอาไว้ผูกแขนกันบัดดี้หลุดหายและจะมีทุ่นที่เรียกว่า บุย (Bouy) ผูกไว้ด้วยเพื่อเป็นตัวบ่งชี้ว่าตอนนี้ดำอยู่ที่จุดไหนแล้ว

            วันนี้เป็นการดำน้ำในทะเลแบบสาวไปตามเชือกที่ผูกไว้ (Jack stay) และเนื่องจากเป็นการลงทะเลวันแรก ทำให้หลายอย่างดูจะมีปัญหา เช่น บริเวณที่เราจะดำนั้นเป็นบริเวณหน้าเกาะและในช่วงเช้าน้ำจะลงมากแล้วเราก็ต้องกระโดดจากสะพานลงไปซึ่งก็สูงพอสมควรและพอลงไปแล้วน้ำก็ตื้นทำให้กระแทรกกับพื้น บางคู่ที่กระโดดลงไปแล้วหน้ากากหลุดก็มีก็ต้องเสียเวลาดำน้ำหาอีก บางคู่เวลาจะดำก็หาเชือกนำไม่เจอก็ต้องใช้เวลาหานานหน่อย เนื่องจากพวกเรามีหลายคู่บางครั้ง พอดำไปแล้วก็มีการแซงกันเกิดขึ้นบ้าง ก็แซงพ้นบ้างก็แซงไม่พ้นทำให้เกิดการพันกันของบุย ก็สร้างความเดือดร้อนให้กับครูที่จะต้องมาช่วยแก้ให้ แต่ที่ดูแล้วน่าหวาดเสียวที่สุด คงเป็นกรณีของพี่ภู(๔๔)ที่ถังอากาศเกิดการแยกกัน ทำให้ครูต้องยกขึ้นเรือ และให้คู่บัดดี้ดำกันต่อไป โชคดีที่ชุดนี้มีกันสามคนกว่าจะดำกันครบชุดก็เล่นเอาบ่ายเลย พอพวกเราทำความสะอาดอุปกรณ์เสร็จแล้ว ก็ไปกินข้าวเที่ยงกันดูว่ามื้อนี้จะกินกันอย่างเต็มที่ เพราะว่าในช่วงเย็นพวกเราจะต้องดำน้ำกันอีกแล้วหลังจากกินข้าวเสร็จพวกเราก็มีเวลาพักกันนิดหน่อยก่อนที่จะเริ่มเรียนในช่วงบ่าย
โดยบ่ายนี้ก็เป็นหน้าที่ของครูเมธี ที่จะมาสอนเกี่ยวกับการผูกเงื่อนแบบต่างๆ ที่เราจะต้องเอาไปใช้เวลาผูกทุ่น แต่ตอนนี้ก็จำชื่อไม่ได้แล้ว ก็เรียนกันจนครบแล้ว ก็ไดฝึกการผูกเงื่อนด้วยตัวเอง เสร็จแล้วพวกเราก็เตรียมตัวที่จะต้องช่วยกันเตรียมของอีกแล้วเพื่อที่จะดำในรอบต่อไป เมื่อเตรียมเสร็จก็ไปกินข้าวเย็นกันก่อน แล้วก็ได้เวลาที่พวกเราจะได้ลงน้ำกันอีกแล้ว ซึ่งการลงครั้งนี้ก็เหมือนกับเมื่อเช้า จะมีเพิ่มก็แค่เพียงมี Chemlight ซึ่งเป็นแท่งพลาสติกแต่จะเรืองแสงด้วยปฏิกิริยาเคมี เวลาที่เราหักแท่งพลาสติก มาติดที่บุยของแต่ละคู่เพื่อให้ครูสังเกตได้ง่ายในเวลากลางคืน ส่วนขั้นตอนต่างๆก็มีข้อผิดพลาดน้อยกว่าเมื่อเช้าจะมีก็แค่ fin หลุดหลังจากที่โดดลงไปแล้วมันก็ ลอยตามน้ำไปไกลพอสมควรก็เลยต้องให้checker อย่างเรากระโดดน้ำลงไปเก็บมาให้
ตอนแรกคิดว่าการดำน้ำกลางคืนจะน่ากลัว เพราะไม่ให้ใช้ไฟฉายใต้น้ำด้วย แต่พอได้ลงไปแล้วก็รู้สึกดีและก็เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่สวยไปอีกแบบ เพราะเวลาที่เราสาวเชือกก็จะมีลักษณะเป็นพรายน้ำที่เกิดจาก ฟอสฟอรัส ในน้ำทะเลซึ่งสร้างความตื่นตาแก่พวกเรา ดูเหมือนมีดาวระยิบระยับติดตามเราไปในน้ำ ฟุ้งขึ้นมาทำให้เราสามารถที่จะมองเห็นเชือกได้ตลอด สำหรับการดำในครั้งนี้ก็มีพี่ฝน(๕๔) ที่ไม่สามารถจะดำได้เนื่องจากไม่สบายแต่ครูก็จะให้มาดำในวันต่อไปแทน หลังจากที่พวกเราดำกันจนครบหมดแล้วก็มาช่วยกันขนอุปกรณ์เก็บและมาฟังครูอธิบายข้อบกพร่องต่างๆและข้อแก้ไข เสร็จแล้วพวกเราก็มาร่วมวงนั่งกินขนมกัน เพราะเป็นที่รู้กันว่าเวลาดำน้ำขึ้นมาก็จะมีความหิวอย่างมากครูก็เลยสั่งให้ไปซื้อขนมเก็บไว้เพราะสภาจะปิดซะก่อน หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำหลังจากที่อยู่กับน้ำทะเลมาทั้งวันแล้วก็แยกย้ายกันไปหลับนอน

 



วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๔๖


วันนี้ก็กลับมามีหัวหน้านักเรียนเป็นผู้ชาย เพราะเนื่องจากว่าต้องสลับกันคนละวัน โดยในวันนี้ผู้ที่มาทำหน้าที่คือ ตั้ม(๓๑) เช้านี้ตื่นขึ้นมาก็มีการออกกำลังกายกันตามปกติแล้วก็ต่อด้วยการทำความสะอาดอีกเช่นเคย เสร็จแล้วก็เป็นเวลาของอาหารเช้าซึ่งวันนี้ก็กินกันอย่างเต็มที่ เพราะว่าวันนี้มีโปรแกรมที่จะต้องลงทะเลอีกแล้ว หลังจากอิ่มกันเรียบร้อยแล้วก็มาช่วยกันเตรียมอุปกรณ์ที่จะต้องใช้โดยวันนี้ก็มีการเรียนเกี่ยวกับการดำน้ำหาสิ่งของใต้ทะเล

            พวกเราก็ถูกแบ่งเป็นชุดๆละ ๑๐ คนและก่อนที่จะลงทะเล ก็มีการซักซ้อมถึงวิธีการและขั้นตอนของการดำกันอย่างขะมักเขม้น จนได้เวลาก็เริ่มที่จะทยอยกันนั่งเรือ ออกไปยังจุดที่ครูไปผูกทุ่นไว้โดยตอนแรกก็ไปแค่สองกลุ่มเพราะตามโปรแกรมกำหนดไว้อย่างนั้น แต่แล้วเนื่องจากว่าใช้เวลากันนานมากครูประยงค์ก็มาเร่งกลุ่มที่เหลือให้เตรียมตัวที่จะลงปรากฏว่าพอถึงเวลาอุปกรณ์ต่างๆกลับไม่พอเลยทำให้ครูอารมณ์เสียเลยแต่คนที่ต้องมารับอารมณ์ครูเต็มๆเห็นจะเป็นพี่โต(๐๖)เพราะจะต้องอยู่บนเรือกับครูตลอด ส่วนขั้นตอนการดำน้ำบางกลุ่มก็เป็นไปตามที่วางแผนไว้แต่บางกลุ่มก็ไม่เหมือนเพราะเนื่องจากเวลาที่ลงไปใต้น้ำแล้วนั้นการที่จะสื่อสารกันทำได้ลำบากดังนั้นเวลาเกิดข้อผิดพลาดก็ทำให้แก้ไขได้ยาก และเนื่องจากว่าเวลาที่จะค้นหาพวกเราจะต้องเกาะเชือกเส้นเดียวกันและต้องวนเป็นวงกลม ซึ่งเวลาที่จะต้องทำกันหลายคนมันก็เลยทำได้ยากรวมทั้งเจอความแรงของกระแสน้ำและความขุ่นของน้ำก็เลยเกิดการมั่วได้ง่าย

            พวกเราใช้เวลาฝึกในช่วงเช้า เมื่อฝึกเสร็จก็ต้องรีบช่วยกันเก็บอุปกรณ์ และก็เตรียมตัวไปกินข้าวเที่ยง เพราะในวันนี้ตอนบ่ายพวกเราจะต้องเข้าห้องเรียนอีกแล้ว วันนี้บรรยากาศในห้องเรียนนับว่า เพิ่มสีสันได้มากเพราะตั้งแต่พวกเรามาเรียน ก็เจอแต่ครูที่เป็นทหารและเป็นผู้ชาย ก็มีบ้างที่มีผู้ช่วยเป็นผู้หญิงอย่างที่โรงพยาบาล แต่วันนี้ครูที่มาสอนเป็นผู้หญิง ซึ่งเป็นอาจารย์อยู่ที่สถาบันราชภัฎที่จันทบุรี ต้องขอโทษที่จำชื่อไม่ได้อีกแล้ว วันนี้ก็เลยทำให้ในห้องดูจะคึกคักเป็นพิเศษ โดยเฉพาะพี่ๆทหารที่มีการแซวครูซะจน ครูแทบจะไม่มีสมาธิสอนแล้วแถมว่าครูยังมีเพื่อนผู้หญิงมากันอีกหลายคน เลยยิ่งเพิ่มสีสันเข้าไปอีก และบรรยากาศการเรียนก็ค่อนข้างที่จะสนุกเข้าไปอีก เมื่อมีการให้พวกเราออกไปแสดงความคิดเห็นหน้าห้องเรียน ก็มีหลากหลายสไตล์ให้เห็น มีทั้งออกไปโชว์เดี่ยว ออกไปเป็นคู่ และออกไปเป็นกลุ่ม

            เมื่อเสร็จจากการเรียนครูประยงค์ก็เข้ามาติวเข้มให้กับพวกเรา เพราะว่าวันนี้ก็จะมีการทดสอบเกิดขึ้นและดูว่าพวกเราจะไม่มีเวลาในการดูหนังสือกันเลย ครูก็เลยมาช่วยติวเข้มให้ในช่วงเวลาสุดท้าย หลังจากนั้นก็เป็นการออกกำลังกายในช่วงเย็นก่อนที่จะมากินข้าวเย็นพร้อมกัน และเมื่ออิ่มกันแล้ว พวกเราก็ไปพร้อมกันที่ห้องเรียนก็มีการจัดเตรียมที่นั่งกัน เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือกันเวลาสอบ แต่ผลปรากฏว่าเมื่อครูชยานันท์เข้ามาบอกว่า จะไม่ใช้ห้องนี้ แต่จะไปสอบที่โรงอาหารแทนทำให้พวกเราต้องผิดหวังไปตามๆ กัน บรรยากาศในห้องสอบดูจะเครียดมาก เพราะมีครูมาช่วยกันคุมสอบหลายคน แต่ก็เชื่อว่าหลายคนคงจะไม่ได้ซีเรียสกับการทำข้อสอบมากนัก เพราะจากการที่ครูประยงค์มาติวให้นั้น ก็คิดว่าสามารถผ่านได้อย่างสบาย หากไม่หลับไปซะก่อน ดูได้จากการที่มีหลายคนใช้เวลาในการทำไม่นานนัก

            หลังจากสอบเสร็จ ก็มีการมาคุยถึงข้อสอบกันบ้างเล็กน้อย แต่ส่วนมากจะคุยกันเล่นมากกว่า หลังจากนั้นพวกเราก็มานั่งประชุมกัน ถึงเรื่องสิ่งที่จะเป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์ของรุ่น คือการทำเสื้อและหนังสือรุ่น ซึ่งวันนี้บรรยากาศดูจะเครียดกว่าทุกวัน เพราะพวกเราจะต้องรีบสรุปให้ได้ว่าจะเป็นในลักษณะไหนกันแน่ และที่สำคัญคือจะต้องเสียค่าใช้จ่ายกันมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเรื่องนี้นับว่ามีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากว่าพวกเราเหลือเวลาที่จะมาสนุกร่วมกันในครั้งนี้ อีกไม่กี่วันแล้ว เมื่อสิ้นสุดการประชุมก็เป็นเวลาพักผ่อนก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำ หลังจากเสร็จแล้วก็ไปนั่งเล่นกันที่สภา เพื่อเป็นการคลายเครียดจนได้เวลาที่พวกเราจะต้องเข้านอน ก็ไปสวดมนต์กันก่อนที่จะแยกย้ายกันไปนอนหลับฝันดี

 



วันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๔๖


วันนี้ก็ตื่นขึ้นมาตามเวลาปกติของพวกเราก็คือตีห้าครึ่ง สำหรับผู้ที่มารับหน้าที่เป็นหัวหน้าวันนี้ก็คือ เจ๊ก้อย (๕๗) หลังจากที่แต่ละคนเสร็จจากภารกิจส่วนตัวก็มารวมกันที่หน้าเสาธงเพื่อที่จะออกกำลังกายยามเช้าเช่นเคย เช้านี้ก็ใช้เวลาไม่นานนัก หลังจากนั้นพวกเราก็ต้องช่วยกันขนอุปกรณ์การดำน้ำลงเรือเพื่อที่จะไปดำน้ำกันที่ระดับความลึกประมาณสามสิบฟุต เมื่อขนทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ไปกินข้าวเช้ากันซึ่งวันนี้ก็ได้รับคำสั่งว่าให้กินกันตามสบาย ก็เป็นที่ถูกอกถูกใจกันใหญ่แต่ก็ต้องให้อยู่ในเวลาที่กำหนดด้วย
หลังจากนั้นก็พร้อมลงเรือและออกเดินทางไปยังจุดหมายที่กำหนด คือที่บริเวณคลังน้ำมันซึ่งก็จะเห็นถังเก็บน้ำมันขนาดใหญ่ ประมาณสี่ถังแล้วก็จะมีถังแก๊สของเรือแพ็ควัน ที่ทางทหารเรือไปกู้มาพวกเราก็ถูกแบ่งเป็นกลุ่มๆละสี่คน โดยจะลงดำไปทีละสามกลุ่มตามทุ่นที่ผูกไว้ และวันนี้ก็มีครูมาช่วยกันดูพวกเราหลายคน เพราะพวกเราต้องลงน้ำที่ระดับความลึกมากขึ้นเรื่อยๆ ขั้นตอนต่าง ๆ ดูแล้วก็ไม่มีปัญหาเหมือนอย่างครั้งก่อน อาจจะเป็นเพราะพวกเราได้เริ่มมีประสบการณ์มากขึ้น เข้าใจระบบการทำงานมากขึ้นก็เป็นไปได้ ก็มีเพียงบางคนที่มีปัญหาส่วนตัวที่ไม่สามารถจะเคลียร์หูได้ ก็เลยไม่สามารถที่จะดำลงไปได้ สำหรับการดำในวันน ี้หลังจากที่ภายในกลุ่มพร้อมก็จะดำลงไป โดยการสาวไปตามเชือกทุ่น แล้วก็ไปรอครูอยู่ที่ปลายเชือก เพื่อที่จะไปทำการฝึกการเคลียร์หน้ากาก การถอด mouth piece ออกจากปากหลังจากนั้นก็เป็นการดูบรรยากาศใต้ทะเลรอบๆตัว ก็มีโอกาสที่จะได้เห็นปลาตัวเล็กๆ ที่ว่ายมาใกล้ๆ พอถึงเวลาตามที่กำหนดไว้คือประมาณสิบห้านาทีก็ขึ้นมาทำการพักน้ำ (Safety stop)ที่ระดับความลึกสิบฟุตประมาณสามนาที แล้วก็มาขึ้นเรือ เพื่อดำกันครบหมดแล้ว ก็ช่วยกันขนของกลับมาที่เกาะ วันนี้บรรยากาศไม่ค่อยดีเพราะมีฝนตกลงมาด้วย
เมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้วพวกเราก็มาพักกินข้าวเที่ยงกัน เพื่อที่จะรอร่วมกิจกรรมในภาคบ่าย นั่นก็คือกิจกรรมการรับน้องซึ่งก็มีพี่ๆรุ่น 7 มาทำการต้อนรับพวกเรา ก็จะมีรุ่นอื่นมาบ้างแต่ก็ไม่มากนัก บรรยากาศการรับร้องก็เหมือนกับการรับน้องมหาวิทยาลัย อย่างที่หลายคนเคยเจอมาก็จะมีพี่ๆมาว๊าก ทำเสียงเข้มข่มน้อง โดยพวกเราก็จะถูกพี่ๆ ปิดตาแล้วก็จูงมือกันเดินไปตามฐานต่างๆ ก็จะมีการเล่นเกมส์เช่นมีการล้วงลงไปในกล่องที่พี่เค้าจะเอาของใส่ไว้ เช่นปลาไหล มะเขือ เป็นต้น แล้วให้เราบอกว่าที่จับได้คืออะไร หรือจะเป็นอีกฐานที่พี่เค้าจะมาป้อนอะไรให้กินก็ไม่รู้ แล้วก็ให้บอกใบ้ให้เพื่อนข้างๆ ว่ามันคืออะไรเท่าที่จำได้รู้สึกว่าจะมีเม็ดแมงลัก กล้วยบด มะละกอบด ส่วนอีกฐานก็เป็นการให้พวกเราพิสูจน์กลิ่นว่ามันคืออะไร ซึ่งก็คือกลิ่นของปลาร้า และน้ำใบเตย และที่จำได้อีกฐานเห็นจะเป็นฐานที่ให้พวกเราต้องมีการใช้แรงเข้าแลก ดูแล้วก็ไม่เห็นจะประทับใจเลย และอยากฝากเพื่อนๆ ว่าอย่าทำกับน้องรุ่นต่อไปเลย เพราะเรามารับน้องควรจะหากิจกรรมที่เห็นว่าทำแล้วผู้ที่ถูกกระทำจะมีความสุขร่วมกับเราดีกว่านะ แต่มีอยู่หนึ่งฐานที่สร้างความฮือฮาให้กับงานนี้ คือฐานที่เค้าเรียกว่าแม่นาค ที่มีพี่คนหนึ่งจะกรี๊ดเสียงดังมากแล้วพี่แกก็ไปกรี๊ดใกล้กับพี่หนึ่ง(๒๑) เพื่อเป็นการแกล้ง แต่ก็เจอทีเด็ดของพี่หนึ่งเข้าให้ที่โอบแขนไปกอดพี่เค้าเลย ทำเอาพี่เค้ากรี๊ดไม่ออกอีกเลย

         หลังจากที่เข้าครบทุกฐานแล้วก็เป็นการแนะนำให้น้องๆ ได้รู้จักกับรุ่นพี่และมีการเล่นเกมส์ด้วยกันเพื่อความสามัคคี เช่นเกมส์โยนลูกโปร่งไม่ให้ตกแตก การกรอกน้ำใส่แกลลอนโดยไม่ใช้อุปกรณ์ ก็สร้างความสนุกสนานกันพอสมควร แล้วก็แยกย้ายกันไปทำความสะอาดร่างกาย เพื่อที่จะรอร่วมกิจกรรมในภาคกลางคืนต่อ
สำหรับบรรยากาศงานกลางคืน ก็เริ่มด้วยให้พวกเราเหล่าน้องๆ รุ่น 7 ไปตั้งแถวกันที่บริเวณสะพาน แล้วก็ทยอยเดินเข้ามาก็มาเจอพี่ๆ ยืนล้อมวงร้องเพลง แล้วพวกเราก็ล้อมเป็นวงโดยมีพี่ๆ อยู่วงรอบนอกแล้วก็มาแสดงความยินดีกับน้องด้วยการผูกข้อมือ มีการจับมือแสดงความยินดี และก็มีการพูดคุยกันเล็กน้อย จนมาถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย คือเวลาของการกิน โดยพวกเราก็นั่งกระจายกัน เพื่อให้ภายในโต๊ะมีรุ่นพี่ร่วมนั่งด้วย และระหว่างที่กำลังกินอาหารกัน ก็มีเสียงเพลงจากนักร้องมาคอยให้ความสนุกสนาน

            เมื่อกินกันเสร็จแล้วก็เป็นเวลาสนุกโดยพี่เค้าก็หาเกมส์มาให้พวกเราได้สนุกกันพอสมควร แต่นอกจากบรรยากาศที่สนุกแล้ววันนี้เราก็มีเรื่องที่ต้องเสียใจเพราะเราจะต้องจากเพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่งคือ พี่เบิร์ด(09) เนื่องจากไม่สามารถที่จะฝึกให้สำเร็จได ้เพราะพี่เค้าป่วยเป็นตาแดง จนต้องหยุดการฝึกไปหลายวัน และครูก็เห็นว่าจะเรียนไม่ทันเพื่อนๆ ในรุ่นจึงต้องให้พี่เค้ายุติการเรียนในปีนี้ก่อน แต่ด้วยความบังเอิญก็ว่าได้ที่ทำให้บรรยากาศของการลาจากกันไม่เศร้านัก เพราะวันนี้ก็เป็นวันเกิดของพี่เค้าด้วย พวกเราก็เลยร่วมกันฉลองวันเกิดให้พี่เค้าด้วยเลย เป็นการจากกันด้วยความประทับใจ

            หลังจากนั้นก็เป็นช่วงของความสนุก ที่พวกเราได้มีการยืดเส้นยืดสายกันบ้าง เพื่อไม่ให้งานดูเหงา บ้างก็ออกไปร้องเพลงโดยเฉพาะพี่น้อย(41)ที่พยายามจะครองไมค์ตลอด หรือว่าจะเป็นแดนเซอร์ตัวยง ที่คงจะไม่ต้องบอกชื่อก็น่าจะรู้ว่าใครเพราะป้าแก เต้นซะจนลืมอายุไปเลย และเป็นธรรมดาที่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา เมื่อถึงเวลาเลิกงาน ท่านผู้บัญชาการหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ ก็มากล่าวปิดงานเนื่องด้วย ตอนเปิดงานท่านมาร่วมไม่ได้ หลังจากนั้นพวกเราก็ช่วยกันยกของและเคลียร์พื้นที่ให้เรียบร้อย ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปนอน

 



วันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๔๖


วันนี้ผู้ที่มาทำหน้าที่เป็นหัวหน้าประจำวันคือน้องชิน(๒๙) ซึ่งวันนี้ตามโปรแกรมก็จะเป็นวันว่างของพวกเรา โดยพวกเราก็จะได้ไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ โดยหลังจากตื่นนอนพวกเราก็มาทำกิจกรรมต่างๆตามปกติคือการออกกำลังกายยามเช้าแล้วก็ตามมาด้วยการทำความสะอาดตามพื้นที่ต่างๆหลังจากนั้นก็เป็นเวลาของการกินข้าวเช้าซึ่งวันนี้ก็กินกันตามสบาย หลังจากเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เตรียมตัวออกเดินทางไปยังสถานที่แรกคือเขาชีจรรย์ ซึ่งที่จุดนี้เราก็จะได้เห็นพระพุทธรูปแกะสลักบนหน้าผาที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติในหลวงที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๖ รอบ โดยวิธีการแกะสลักนั้นทำโดยการใช้เลเซอร์ยิง

            พวกเราใช้เวลาเดินเที่ยวประมาณครึ่งชั่วโมงและเนื่องจากอากาศร้อนมากส่วนใหญ่ก็จะเป็นการนั่งจับกลุ่มคุยกันซะมากกว่า หลังจากนั้นเราก็เดินทางไปยังจุดที่สองคือวัดญาณสังวราราม ซึ่งก็เป็นวัดที่ใหญ่โตมากคล้ายๆวัดพระธรรมกายก็จะมีผู้คนเข้ามาเที่ยวกันเยอะพอสมควรบ้างก็มาถือศีลปฏิบัติธรรม หรือก็เข้ามาเที่ยวอย่างพวกเรา เมื่อถึงที่วัดนี้สิ่งแรกที่พวกเราได้ไปชมก็คือรอยพระพุทธบาทจำลองซึ่งก็ต้องเดินขึ้นเขาที่ชันพอสมควรแต่เค้าก็มีบันไดไว้ให้เดินซึ่งก็จำไม่ได้ว่ามีกี่ขั้นพวกเราก็ใช้เวลาในการไหว้พระ รอยพระพุทธบาทจำลองและพักเหนื่อยกันพอสมควรก็เริ่มทยอยเดินกลับลงมาแล้วพวกเราก็มานั่งพักกันที่บริเวณวัดก็เป็นการเดินเที่ยวชมภายในบริเวณวัดซึ่งตรงนี้ก็แยกกันไปคนละทิศละทางกันเลยเพราะเนื่องจากอากาศที่ร้อนทำให้บางคนก็ไม่อยากเดินไปไหนก็เลยอาศัยร่มไม้ใกล้ๆที่จอดรถเป็นที่ตั้งวงสนทนากันเป็นกลุ่มบ้างหรือแยกเป็นคู่ก็มี
ได้เวลาอันสมควรก็รวมพลกันขึ้นประจำที่นั่งเพื่อที่จะออกเดินทางไปยังจุดหมายต่อไปซึ่งเป็นที่ทุกๆคนไม่คาดคิดว่าจะต้องไปนั่นก็คือ Big C เพราะทุกๆคนคงจะเบื่อกับการที่จะต้องมาเดินที่นี่เนื่องจากต้องเจอมาเป็นประจำแต่เราก็ไม่สามารถที่ปฏิเสธได้เพราะมันคือคำสั่งที่จะต้องปฏิบัติตาม เมื่อมาถึงต่างก็แยกย้ายไปหาอาหารเที่ยงกินกันโดยส่วนใหญ่ก็อาศัย Food center เป็นที่พึ่งพา จะมีบ้างบางส่วนที่ไปอาศัยท้องกับฟาสฟูดเช่น KFC ก็ไม่รู้ว่าจะมีรสชาตแตกต่างจากที่กรุงเทพหรือเปล่านะ มีบางคนที่ไม่ยอมกินอะไรเพราะหวังจะไปพึ่งพากับอาหารพื้นบ้านที่ชายทะเลเพราะหวังว่าสถานที่ต่อไปคือหาดนางรำ ก็เลยอาศัยเวลานี้เดินดูสาวแทน หลังจากเสร็จจากกินข้าวเที่ยงแล้ว พวกเรายังมีเวลาเหลือก็เลยเดินดูของใน Big C ต่อก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรแตกต่างจากที่กรุงเทพเลย จะมีก็คงเพียงที่ว่ามันอยู่ต่างจังหวัด

            หลังจากนั้นพวกเราก็ออกเดินทางไปยังสถานที่ต่อไปทุกคนก็ลุ้นกันว่าจะเป็นที่ไหนแต่บางคนก็รอลุ้นจนหลับเพราะว่าพอหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน และแล้วจุดหมายของเราก็คือเรือรบหลวงจักรีนฤเบศร(911) หลายคนก็รู้สึกแปลกใจเพราะไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ วันนี้ที่เรือมีคนมาเที่ยวค่อนข้างเยอะทำให้การเดินดูเรือค่อนข้างจะติดขัดแต่เราก็มีหัวหน้าดู๋ และพี่ตี๋ เป็นผู้ที่คอยอำนวยความสะดวกพาพวกเราเที่ยวชมเรือในซอกมุมที่จะสามารถเข้าไปได้ หลังจากนั้นก็ไปยังดาดฟ้าเรือเพื่อที่จะไปร่วมถ่ายรูปหมู่กันก็สนุกกันบ้างเล็กน้อยแถมความร้อนให้อีกต่างหากก็ใช้เวลาอยู่บนเรือสักระยะหนึ่ง ทุกคนก็ต่างรอลุ้นว่าสถานที่ต่อไปจะไปไหนกันนะ

            เมื่อทุกคนพร้อมแล้วก็ขึ้นประจำที่นั่งบนรถจนล้อรถเคลื่อนที่ เมื่อถึงสถานเพาะพันธุ์เต่าทะเลรถก็เลยผ่านไป ก็รอลุ้นกับที่ต่อไปคือหาดนางรำซึ่งรถก็เลยผ่านไปอีกจนทุกคนก็เริ่มหันมามองหน้ากันว่าอะไรกันเนี่ยพวกเราจะต้องกับเกาะพระกันแล้วเหรอก็มาลุ้นกันอีกทีที่หาดเตยงามรถก็ยังไม่แวะจอดให้อีก เป็นอันว่าพวกเราต้องกลับเกาะพระกันจริงๆ
เมื่อกลับมาถึงเกาะพวกเราก็มารวมพลตั้งแถวกันเพื่อที่จะรายงานครูปกครอง และวันนี้ก็เป็นวันที่พวกเรารอลุ้นผลการสอบกันว่าจะเป็นไงกันบ้างก็มีคนได้คะแนนท๊อปกันหลายคน และก็มีการสอบตกบ้างซึ่งครูก็นัดที่จะสอบซ่อมไว้แล้ว หลังจากนั้นพวกเราก็ไปกินข้าวเย็นกันก็กินกันแบบสบาย เพราะวันนี้ก็เป็นวันสบายของพวกเรา เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำแล้วก็มาพร้อมกันที่ห้องเรียนเพื่อที่จะมาประชุมกันในหลายๆ เรื่องให้สิ้นสุดซะที เพราะพวกเรามีเวลาอยู่ด้วยกันอีกไม่มาก แล้วก็เป็นการพูดถึงเรื่องการทำเสื้อ หนังสือรุ่น และอะไรอีกหลายอย่างที่ผมเองก็จำไม่ได้แล้ว หลังจากเสร็จจากการประชุมก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมีการไปนั่งสังสรรค์กันที่สภาร้านประจำของพวกเราในช่วงเวลานี้ จนได้เวลาเข้านอนก็มาทำการสวดมนต์และกล่าวคำปฏิญาณ แล้วก็แยกย้ายกันไปนอนหลับฝันดี

 



วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๔๖


วันนี้พวกเราก็ตื่นเช้าตามปกติก็เวลาประมาณตีห้าครึ่ง (ขอใช้เรียกตามทหารเรือก็แล้วกัน ไหนๆก็ไหนแล้ว)สำหรับวันนี้ผู้ที่มาเป็นหัวหน้าของพวกเราก็คือ เจ๊กรรณ(๕๕) เช้านี้มีการมีการออกกำลังกายตอนเช้าหรือเปล่าจำไม่ได้ แต่ไม่ได้ทำความสะอาดตามปกติ เพราะเราต้องเตรียมตัวและอุปกรณ์สำหรับการดำ หกสิบฟุตวันนี้ เราต้องเตรียมเรือยาง ลูกตุ้ม ที่เป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับการดำน้ำในวันนี้ด้วย พอได้เวลาเจ็ดโมงตรงเราต้องรีบลงเรือมัตโพนแล้ว เรือนี้เป็นเรือยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ (Large Contain Unit) กว่าเรือหัวตัดที่เราใช้ข้ามฟากทุกวัน เราต้องรีบเนื่องจากน้ำกำลังลด เดี๋ยวเรือจะออกไม่ได้

            พวกเราถูกส่งไปหลังเกาะพระ หน้าเกาะยอ(ถ้าจำไม่ผิด) เรือก็ทอดสมอตรงที่น้ำลึกประมาณหกสิบฟุต ขณะเดินทางทหารประจำเรือก็มีการประกาศทำความเคารพเรือที่จอดอยู่ ถามเพื่อนในรุ่นก็ถึงได้รู้ว่าเขามีการจัดลำดับเรือไว้ จะมีการทำความเคารพกันเมื่อเรือสวนกันด้วยเสียงนกหวีด และข้าราชการในเรือก็ทำด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาต้องทำอะไรบ้าง เราเป็นผู้โดยสารเลยอยู่เฉยๆ ขณะที่อยู่ในเรือครูประยงค์ก็เริ่มจัดกลุ่มดำน้ำให้เป็นกลุ่มละ 6 คน นักเรียน 5 คนต่อ ครู 1 คน รวมแล้วก็มีทั้งหมด 12 กลุ่ม ผู้หญิงจะถูกผสมตั้งแต่ กลุ่ม 1-8 เท่านั้น กลุ่มที่เหลือก็เป็นชายล้วน เหงาหน่อยนะ ไม่มีผู้หญิงไปวุ่นวายด้วย จุดดำมี 3 จุดด้วยกัน ก็เรียงกันไป ทีละ 3 กลุ่ม วันนี้ก็ยังเป็นการลงไปเพื่อเคลียร์ Mouth Piece หน้ากาก การบอกความลึก บอกเวลาที่เหลือ

            ขอเม้านิดหนึ่ง งานนี้ก้อย(57)เพื่อนเราก็ถึงกับเมาคลื่นเลยหละ แต่ก็สามารถดำหกสิบฟุตผ่านไปได้ด้วยดี ขึ้นมาเราก็ล้างอุปกรณ์ส่วนตัว ส่วนรวม และมีการล้างตัวของพวกเราด้วย ทางเรือใจดีปล่อยน้ำเปล่า โดยให้โต(06) เป็นคนฉีดน้ำให้เพื่อนๆได้ล้างตัว และเราก็เดินทางกลับเกาะพระ เก็บอุปกรณ์เช่นขวดอากาศเพื่อเติมอากาศในขวด อุปกรณ์ส่วนตัวและทานข้าวกลางวัน
แหม วันนี้เป็นวันแรกที่พวกเรามีเวลาว่างได้นอนกลางวันด้วย ตามใต้ต้นไม้นะหาได้ตามอัธยาศัยที่ใครที่มัน ไม่มีการแย่งกัน และบ่าย 2 โมง ครูก็เรียกมารวมกันเพื่อเรียนเงื่อน วันนี้เราเรียน เงื่อนกระ เงื่อนผูกคอ การเก็บปลายเชือก ซึ่งจะเป็นงานเราในอนาคตนะ อย่าลืมไปฝีกฝนหละเพื่อนๆ และเมื่อเรียนเสร็จก็มีเสียงนกหวีดเรียกจากครูชยานันท์ ทุกคนทำเฉยไม่อยากไปเลย เพราะจะต้องไปเรียน Life Saving ในทะเลแล้ว จนกระทั่งมีเสียงเตือนมาเราจึงต้องเริ่มลุกขึ้นวิ่งไปหาครู

            ตั้งแต่คนแรกที่ไปถึงก็โดนทำโทษรอเพื่อนจนกระทั่งเพื่อนมาครบ พร้อมโดนดุอีก 1 กระบุงโกย ตามด้วยของแถมให้เดินเท้าเปล่าไปเกาะชีพร้อมด้วยหน้ากาก กับ Fins เท่านั้น ร้อนจังเลยครูส่วนตัวครูนะใส่ร้องเท้าเดินอย่างสบายใจเลยนะไม่อายพวกเราบ้างเลย ไปถึงเราก็ถูกจับคู่น้ำหนักใก้ลเคียงกัน ชุด1 และชุด 2 เพื่อเรียนการช่วยเหลือผู้ตกน้ำ มีการฝึก CPR อีกครั้งหนึ่ง ครูทวนของเก่าให้หลังจากที่วันก่อนเราไปฝึกกับหุ่นที่โรงพยาบาลสิริกิตติ์

            แต่วันนี้เราทำกับเพื่อน กดแรงไม่ได้เดี่ยวโดนเพื่อนอัดเอา และมีการเรียนการนำผู้ป่วยกลับเข้าฝั่งด้วยการอุ้มช้อนทั้งตัว ด้วยการพาดไว้ที่เอว ด้วยการแบกด้วยไหล่ ขึ้นมาจากน้ำเพื่อนๆคงจำได้นะว่าทำอย่างไร ตอนนี้พี่ฝน (54)ก็ได้ของแถมเป็นหอยเม่นมาหนึ่งเข็มที่หัวนิ้วโป้งเท้าซ้าย ครูชยานันท์ใช้ก้อนหินทุบให้ คงจะปวดทีเดียวเพราะพี่ฝนร้องไห้เลย เวลาน้อยครูต้องพอแล้วกับ Life saving
ต่อไปเราก็โดนปล่อยลอยคอในทะเลพร้อมจัดแถวหน้ากระดานขนานกับสะพาน และมาเปลี่ยนเป็นแถวตอน 2 แถวคู่กับบัดดี้เรา แย่แล้ว! Snorkel ก็ไม่มี หลายคนคงจะได้ดื่มน้ำทะเลกันไปคนละหลายอึกใช่ไหมเพื่อน ครูชอบให้ทำอะไรเยอะๆจังตอนลอยตัวเนี่ยะ และยังมีการให้ดำน้ำเอาดินมาโป๊ะหัวตัวเอง ลึกประมาณสิบฟุต ตีFins 2 ทีก็ถึงแล้ว(ภาษาครูนะ) แต่นักเรียนนะหลายทีเลยหละครู แต่ส่วนใหญ่ก็ทำได้ ทีนี้ก็เป็นตอนสุดท้ายของการว่ายน้ำแล้ว ว่ายน้ำกลับไปสะพานพร้อมกับบัดดี้ตัวเอง ไกลประมาณ 250 เมตร เหมือนไม่ไกลแต่ก็แทบแย่ เปลี่ยนท่าว่ายเสียหลายท่ากว่าจะถึงสะพานได้ และครูก็ให้เก็บอุปกรณ์ ทำความสะอาดตามปกติ

            นักเรียนชายบางส่วนต้องเตรียมขวดอากาศไปส่งที่เรือมัตโพนแล้ว เพื่อพรุ่งนี้เราจะได้ดำน้ำเก้าสิบฟุต อาบน้ำและรับประทานอาหารเย็น เพราะเพื่อนบางคนจะต้องสอบซ่อมในวันนี้ ส่วนคนทีเหลือก็ไปที่สภาและรอเข้าแถวสวดมนต์ วันนี้เราได้นอนเร็วนะ และยังมีเวรอยู่เหมือนเดิม ด้วยความเพลียจากกิจกรรมตลอดวันที่ผ่านมา เขียนมาดูเหมือนไม่เหนื่อยเลย แต่ตอนนั้นก็เสียเหงื่อไปหลายเลยหละ

 



วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๔๖


วันนี้เป็นวันที่พวกเราต้องตื่นนอนกันเช้าเป็นพิเศษ เพราะจะต้องมีการเดินทางที่ต้องใช้เวลานานดังนั้นพวกเราจึงถูกปลุกตั้งแต่ตอนตีสามครึ่ง พวกเราพร้อมด้วยชุดสีน้ำเงินตัวเก่งของเราและเตรียมอุปกรณ์ส่วนตัว อาหารเช้า อาหารกลางวัน น้ำ ขนม ประมาณตีสี่เราก็ลงเรือหัวตัดไปลงเรือมัตโพน เมื่อทุกอย่างพร้อมเราก็เดินทางไปเกาะไผ่สำหรับผู้ที่มาทำหน้าที่เป็นหัวหน้านักเรียนในวันนี้ก็คือ ต๊อป(๒๐) ครูก็ดำเนินการ Brief ให้พวกเราตามแผนการดำทุกอย่างเหมือนเดิมและจัดกลุ่ม ซึ่งเป็นกลุ่มเดิมจากการดำ 60 ฟุต และพวกเราก็แยกย้ายกันไปนอนตามจุดต่างๆมีรองเท้าแตะเป็นหมอนหนุน นุ่มดีนะจะบอกให้ บางคนก็ขึ้นไปนอนบนดาดฟ้าเรือ ดูพระอาทิตย์ขึ้นสวยดีนะ
ประมาณหกโมงครึ่งครูก็เรียกรวมพลเพื่อออกกำลังกายเล็กน้อยก่อนรับประทานอาหารเช้า และข้าวกล่องก็ถูกลำเลียงมาแจก ไข่ต้มกับกุนเชียงทอดและถั่วฝักยาวผัดเผ็ด ก็เลือกสันกันตามชอบ ไม่ชอบก็แบ่งเพื่อนข้างๆไป ได้เพื่อนอีกคนก็ตอนนี้หละมั้ง และยังมีนมแถมท้ายมือนี้เหมือนเดิม เสร็จแล้วก็แยกย้ายไปพักผ่อนตามอัธยาศัย หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนตามปกติ หลับกันอย่างเป็นสุขพร้อมกับแสงแดดที่เริ่มแรงขึ้น ก่อนถึงจุดหมายปลายทางเล็กน้อย ครูประยงค์ก็เรียกพร้อมกับ Brief กันอีกครั้งหนึ่ง ว่าเราจะได้ท่องใต้น้ำที่ เก้าสิบฟุต ดูเรือครามที่กองทัพเรือมาจมทิ้งไว้เมื่อเดือนมกราคม

            วันนี้จะไม่มีการแก้ไขข้อขัดข้องแล้ว และให้นักเรียนได้อยู่ใต้น้ำสิบห้านาทีและขึ้นมาพักน้ำที่สิบฟุตนานสาม นาทีเท่านั้น ประมาณเก้าโมงก็ถึงที่หมาย เรือ Sea Fox ก็มาพร้อมกับครูที่จะดำพร้อมกันนักเรียน 2 ลำมาเทียบเรือมัตโพน และวันนี้ก็มีนักดำสมทบมาด้วยเป็นรุ่นพี่เก่าและอีกหลายคน นักดำถูกแบ่งเป็นชุดเหมือนการดำ 60 ฟุต คือ 1 ชุด มีครู 1 ท่าน นักเรียน 5 คน ดำตามเชือกลงไปยังเรือครามคือจุดหมายของวันนี้ พวกพี่ที่มาสมทบก็ดำปิดท้ายนักเรียน

            วันนี้ครูเชาวลิตก็มาดูการดำของพวกเราจนจบทุกชุดซึ่งการดำในวันนี้บางกลุ่มก็ไม่ค่อยจะได้เห็นอะไรมากนักอย่างกลุ่มแรกเมื่อดำลงไปก็ต้องไปทำหน้าที่ในการไปผูกเชือกเพื่อให้ชุดต่อไปสาวเวลาดำ หรือบางกลุ่มก็เกิดมีการแตกกลุ่มกันเพราะกระแสน้ำที่แรง บางกลุ่มก็สามารถที่จะดำลงไปเห็นป้ายของเรือ และสำหรับกลุ่มสุดท้ายก็ต้องทำหน้าที่เก็บเชือกที่ผูกไว้ขึ้นมาด้วยแต่กลุ่มนี้ก็มีสีสันขึ้นมาบ้างเพราะมีตากล้องลงไปด้วยเลยได้สนุกกับการถ่ายวีดีโอใต้น้ำซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะได้เห็นรูปตัวเองหรือเปล่า
เมื่อทุกชุดดำเรียบร้อยแล้ว เรือ Sea Fox เป็น เรือตรวจการร์ชายฝั่ง (ตกช.) ทั้งสองลำก็นำครูที่มาสมทบกลับและพร้อมด้วย น้องนุก (47)และน้องโน๊ต(48) ไปเป็นนางแบบถ่ายการดำ Jack Stay ที่เกาะพระก่อน และเรือมัตโพนก็เริ่มเดินทางกลับ เราก็เริ่มเก็บของเข้าที่เข้าทางเรียบร้อยแล้ว มีการอาบน้ำด้วยการฉีดจากสายยางอีกครั้ง และก็ได้รับประทานอาหารกลางวันกันอย่างเป็นระเบียบ อาหารกลางวันนี้ก็เป็นหมูกระเทียมพริกไทยกับแตงกวา ไก่ทอด และไข่เค็ม คนละฟอง ด้วยข้าวกล่องใหญ่ที่ทางโรงครัวจัดให้พวกเรา ไม่มีใครไม่เคยไม่อิ่มกับอาหารกล่องเลย เสร็จแล้วก็แยกย้ายไปพักผ่อนตามอัธยาศัย
รอเวลาประมาณบ่ายโมงครึ่งที่จะมีการสรุปการดำน้ำ Dive สุดท้ายของพวกเรา ครูประยงค์เป็นผู้จดบันทึกการสรุปของแต่ละกลุ่มว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ควรมีการแก้ไขอย่างไร แต่ละกลุ่มจะยืนขึ้นและตัวแทนจะพูดผ่านโทรโข่ง เพื่อให้เพื่อนๆได้ยิน และครูประยงค์ได้สรุปถึงปัญหาของแต่ละปัญหาและแนวทางแก้ไขของทุกกลุ่มอีกครั้ง เป็นการจบการดำน้ำของพวกเราแล้ว ขณะนั้นเรือก็นำพวกเราเข้าพื้นที่สัตหีบแล้ว และเรือก็ทอดสมอก่อนถึงสะพาหนหน้าเกาะพระ เนื่องจากน้ำลง และเรือหัวตัดก็มาขนอุปกรณ์และสัมภาระทั้งหมดไปพร้อมนักเรียนชาย ส่วนนักเรียนหญิงถูกลำเลียงขึ้นเรือยางที่มากับพวกเราไปขึ้นเกาะพระที่สะพาน และเราก็เก็บของทั้งของส่วนตัวและเช็คของส่วนกลางทั้งหมดกลับเข้าสู่ที่เดิมเหมือนเมื่อครั้งที่เรามาใช้อุปกรณ์ครั้งแรก ก็มีของหายบ้างในบางรายการ ซึ่งก็จะได้มีการซื้อคืนให้กับโรงเรียนในภายหลัง
เมื่อคืนของเรียบร้อยแล้ว ครูฉลองก็มาเรียกรวมพลทั้งหมด เพื่อเตรียม Survival ที่เกาะเณรในคืนนี้ ครูเตรียมหม้อสนาม ข้าวสาร ไก่สด และน้ำเปล่าอีกหลายขวดทีเดียว และเราก็ต้องรีบออกเดินทางไปเกาะเณรแล้ว ครูสั่งพวกเราไปที่สภาฯเพื่อรอข้ามไปเกาะเณร โดยบอกว่าให้ว่ายน้ำข้ามไป ตายแน่ๆ พรุ่งนี้เช้าก็ไม่รู้ว่าจะถึงหรือเปล่า ช่วงนี้เริ่มมีการเตรียมแอบตุนเสบียงที่ครูไม่อนุญาตให้เอาติดตัวไปตามความสามารถ

            นักเรียนชายถูกลำเลียงไปก่อนสองเที่ยวแรกเพื่อที่จะเป็นการเคลียร์พื้นที่ และทำการหาฟืนไว้สำหรับก่อไฟ ครูพยายามที่จะพาเราไปให้ถึงเกาะเณรก่อนค่ำ แต่กว่าที่นักเรียนหญิงจะถูกลำเลียงไปถึงเที่ยวสุดท้ายก็ค่ำเสียแล้วมองอะไรไม่เห็นแล้ว เราก็ต้องลงมือก่อไฟและมีบางส่วนก็ไปทำหน้าที่เป็นชาวประมง เพื่อที่จะไปกู้อวนดักปูที่ครูฉลองออกไปวางไว้เมื่อคืนก่อนนี้ ซึ่งก็ได้ปูมาพอสมควรแต่เมื่อเทียบกับจำนวนนักเรียนแล้วคงจะไม่พอก็เลย เป็นอันว่าเอาไว้ให้ครูกินก็แล้วกัน

            ตามที่มีนักเรียนชายมาถึงก่อนก็ก่อไฟเรียบร้อยในป่าด้านในเกาะ ส่วนผู้หญิงได้จัดสัดส่วนตั้งอาณาจักด้านหน้าเกาะเณร โดยมีครูตั้งหมู่ตรงกลางระหว่างนักเรียนหญิงและนักเรียนชาย หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันประกอบอาหารตามสภาพที่จะเอื้ออำนวย โดยพวกเราต้องหุงข้าวจากหม้อสนาม ทำไก่ย่าง กว่าจะย่างเสร็จได้ก็โดนย่างกันไปหลายคน มีมันเผาด้วยนะมื้อนี้ ทางผู้หญิงมีน้ำจิ้มอร่อยด้วยฝีมือของเจ้ตุ๊กตา(46)กับไก่ย่าง อร่อยเหาะเลยมื้อนี้ กว่าจะได้ทานน้ำจิ้มหกไปแล้วหนึ่งรอบ

            ทุกคนก็เอร็ดอร่อยกับการรับประทานอาหารมื้อนี้พอสมควรนะ หลังจากกินเสร็จในตอนแรกก็แอบหวังไว้ว่าคืนนี้น่าจะมีกิจกรรมอะไรเล่นสนุกกันเพราะไหนๆ ก็เป็นคืนสุดท้ายที่พวกเราจะต้องอยู่ร่วมกันแล้ว แต่ต้องผิดหวัง เพราะเมื่ออิ่มกันแล้วก็แยกย้ายกันนอน โดยเฉพาะด้านของพวกผู้ชายที่ดูจะเงียบสงบกันเลย ส่วนฝ่ายผู้หญิงมีการร้องเพลงและเต้นตามความสามารถแต่ละบุคคลกันอย่างสนุกสนานพอสมควร หลายคนก็หลับตั้งแต่ทานเข้าอิ่มแนะ ยามไม่เข้าแล้ว ใครอยู่ไม่ง่วงก็อยู่เวรไป เวรเลยไม่เป็นระบบสักเท่าไหร่ในคืนนั้น ชีวิตก็ง่ายดีนะ กินและก็นอนทั้งๆที่อยู่ในภาวะที่ลำบาก อากาศเริ่มเย็นลงเวลาดึก แต่ทุกคนก็สามารถหลับพักผ่อนได้

 



วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๔๖


ฟ้าเริ่มสางครูก็สั่งให้ทุกคนตื่น พร้อมกับกลิ่นใหม่ที่ทุกคนสะสมไว้ตั้งแต่เมื่อวานนี้ เช้านี้ก็เลยไม่ค่อยมีคนคุยกันสักเท่าไหร่ และพวกเราก็เก็บของเตรียมตัวกลับเกาะพระ นักเรียนหญิงถูกส่งกลับเป็นเที่ยวแรกไปรอนักเรียนชายที่หน้าสภาฯ เมื่อทุกคนมากันครบหมด ครูสั่งจัดแถวและให้เวลาเราเก็บของทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้เมื่อคืนนี้และให้เวลาอาบน้ำเป็นชั่วโมงพร้อมกับลงมาในชุดสีน้ำเงินของเรา พร้อมกับกลิ่นหอมหลังการอาบน้ำจริงครั้งแรก นับจากเมื่อคืนนี้
ประมาณเจ็ดโมงเช้าก็ถึงเวลารับประทานอาหารที่โรงอาหารแล้ว ระเบียบในโรงอาหารไม่เข้มงวดเท่าไหร่ในวันนี้ ครูสั่งตามสบายรับประทานอาหารเลยหลายคนร้อง ยาฮู หลังรับประทานอาหารก็มีการปฏิญานตนตามปกติและครูนัดซ้อมพิธีรับใบประกาศและพิธีปิดเวลาห้าโมงเช้า และท่านผบ.หน่วยสงครามพิเศษทางเรือก็ได้ขอแรงพวกเราช่วยกันทำเขื่อนข้างเกาะพระเพื่อกันน้ำเซาะ พวกเราก็ตั้งแถวขนหินมากั้นแนว ทั้งหญิงและชาย แม้แต่ท่านผบ.หน่วยฯยังถึงกับเปลี่ยนชุดมาช่วยเราด้วยเหมือนกัน ก็เป็นการตอบแทนเกาะพระอีกทางหนึ่งนะที่พวกเราทำได้ก่อนจากเกาะพระในวันนี้
ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะถึงเวลาที่เราจะต้องจากเกาะพระแล้ว พวกเราหยุดพักก่อนถึงเวลาที่นัดหมายเล็กน้อย และก็เริ่มซ้อม เมื่อถึงเวลาที่กำหนด มีการเรียงลำดับเหตุการณ์ประธานในพิธี การกล่าวรายงาน และการกำหนดจุดเดินขึ้นรับใบประกาศทีละคน มีการเรียงลำดับใหม่ ซึ่งไม่ตรงกับหมายเลขประจำตัว มีการเตรียมเรื่องการทำความเคารพ การรับใบประกาศ การรับโล่ของนักเรียนดีเด่นสองคน

            หลังการซ้อมครูปล่อยให้พวกเราไปรับประทานอาหารในโรงอาหารตามสบายรับประทานในมื้อนี้ ซึ่งเป็นมื้อสุดท้ายของอาหารที่เกาะพระ ขนมอร่อยเหมือนเดิม บรรยากาศเหมือนในร้านอาหารเลยมื้อนี้พร้อมกับมีการออกมาร้องเพลงกล่อมเพื่อนของน้องทราย และปิดท้ายด้วยมุกตลกๆจาก เจ๊นองและเจ๊ตุ๊กตา แต่ก็ยังมีการปฏิญานด้วยเหมือนเดิม และพวกเราก็เตรียมตัวเก็บข้าวเครื่องใช้ต่างๆที่เป็นของใช้ส่วนตัวและส่วนกลางเพื่อที่จะเช็คคืนเกาะพระหลังจากนั้นก็ไปอาบน้ำแต่งตัวชุดหล่อและสวยเพื่อรอรับใบประกาศ นักเรียนหญิงหลายคนมีความเห็นตรงกันว่าไม่อาบน้ำดีกว่า อาบก็เท่านั้น เดี๋ยวเหงื่อก็ท่วมตัวเหมือนเดิม จึงเปลี่ยนแต่ชุดและ Make up เต็มที่(เหนียวแต่หอม) รอเวลารับประกาศ ผู้หญิงหลายคนถูกเก็บไว้ในห้องสมุดที่มีแอร์ ครูสมชาติบอกว่าเดี๋ยว Make up ละลาย

            จนถึงเวลาประมาณบ่ายสองโมงก็ออกไปตั้งแถวรอรองผู้บัญชาการกองเรือยุทธการซึ่งเป็นประธานในพิธีและครูชวลิต เป็นผู้มอบใบประกาศให้กับพวกเรา รับใบประกาศจากหน่วยสงครามพิเศษทางเรือและสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ในพิธีนี้ ขั้นตอนในพิธีเป็นไปตามที่ซ้อมกันไว้ แดดร้อนมา แต่ครูฝีกก็มายืนกับพวกเรา และเดินกล่าวทักทายพวกเราทุกคนหลังพิธีปิดด้วย และเราก็ถ่ายรูปกับครูฝึกที่หน้าเวที เราได้มอบเครื่องพิมพ์และหมึกพิมพ์ให้กับโรงเรียนโดยครูเขียนเป็นผู้แทนรับมอบหลังพิธีปิด

            ทางโรงเรียนได้มีอาหารว่างไว้สำหรับพวกเราที่สภาด้วย ท่านรองผบ.กองเรือยุทธการ ครูชวลิต ครูฝีกทั้งหมดและนักเรียนได้ร่วมรับประทานอาหารว่างด้วยกัน อร่อยด้วยอิ่มด้วย บรรยากาศเป็นกันเอง เริ่มมีการแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ อำลากันแล้ว ครั้งสุดท้ายที่สภาฯ และพวกเราก็เริ่มกลับไปโรงนอนเพื่อเตรียมกระเป๋ากลับบ้าน แต่ละคนก็ขนของของตัวเองมารอที่หน้าโรงเรียน มีการ Surprise หัวหน้า(01)ของพวกเราด้วยเค๊กวันเกิดที่มีน้องโน๊ตเป็นผู้มอบให้ และเริ่มมีการนัดหมายว่าคืนนี้จะไปเที่ยวต่อกันดีไหม? ดี หลายคนเห็นด้วยและสามารถเข้าร่วมสังสรรค์คืนนี้ได้ แต่หลายคนต้องกลับกรุงเทพฯแล้ว ถ้ารู้อย่างนี้ลาเผื่อล่วงหน้าแล้ว
และก็ถึงเวลาต้องลงเรือข้ามฝากแล้ว เราก็ขนของส่วนตัวลงเรือข้ามฟากกลับสู่ฝั่งหลังจากที่เมื่อ สิบสี่วันที่แล้วเราขนของสู่เกาะพระและวันนี้ก็เป็นวันที่เราต้องลาเกาะพระแล้ว พวกเราก็แยกย้ายกันไป คนที่จะกลับกรุงเทพฯก็ขึ้นรถของทหารเรือที่ทางสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์จัดไว้ให้พวกเรา และคนที่อยู่สัตหีบก็เตรียมตัวกลับที่พักของตัวเอง

            เมื่อรถขส.ทร.พร้อมจะออกเดินทางท่านผบ.หน่วยฯตามขึ้นมาอวยพรพวกเราบนรถด้วย และรถก็ออกเดินทางกลับถึงกรุงเทพฯโดยสวัสดิภาพ ส่วนทางด้านสัตหีบก็มีการสังสรรค์กันต่อในคืนนั้น ก็เกือบสว่างหละนะกว่าจะได้นอนกัน เป็นการอำลากันที่สนุกสนานกันจริงในบรรยากาศของความเป็นเพื่อนๆจริงๆ หลังจากได้ร่วมทุกร่วมสุขด้วยกันมา บรรยากาศที่ไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้อีกแล้ว