ลำแสงสีแดงมรณะ
Saturday, July 23, 2005, 04:20 PM - ต่างประเทศ
การค้นพบนี้เป็นเรื่องแปลก เพราะว่านักวิทยาศาสตร์ ได้เรียนรู้มาว่าภายใต้ทะเลลึกมาก ๆ สัตว์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ ไม่สามารถมองเห็นแสงสีแดงได้ตั้งแต่พวกมันเกิด เนื่องจากเป็นความลึกระดับที่แสงอาทิตย์ไม่สามารถส่องผ่านลงไปถึง ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดที่สัตว์ในความลึกระดับนั้น จำเป็นต้องรับรู้ถึงความแตกต่างของสี
สัตว์ที่มีความบอบบาง ลักษณะขุ่นใส ซึ่งเป็นสัตว์จำพวกไม่มีกระดูกสันหลังสายพันธุ์แรก ที่พบว่าพวกมันสามารถผลิตแสงสีแดงได้
ส่วนสายพันธุ์ใหม่ที่ค้นพบ อยู่ในสกุล Erenna ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นสกุลที่สามารถเปล่งแสงได้ เพื่อการป้องกันตัวจากสัตว์อื่น
รายละเอียดจากการค้นพบ เปิดเผยขึ้นเมื่อ วันที่ 8 กรกฎาคม 2548 ในวารสารวิทยาศาสตร์ ที่เปิดเผยโดย Steven Haddock จากสถาบันวิจัยทางทะเล Monterey Bay Aquarium Research Institute.
แสงสีแดง จะถูกสร้างโดยระบบเปล่งแสงแบบฟลูออเรสเซนต์ ซึ่งเป็นคลื่นแสงความยาวต่ำเช่นเดียวกับสีน้ำเงิน แต่แสงสีน้ำเงินถูกสร้างโดยกระบวนการที่เรียกว่า bioluminescence ซึ่งสิ่งมีชีวิตจะปรับเปลี่ยนสารเคมีให้เป็นแสง คล้ายกับแท่งเรืองแสงที่มีจำหน่ายให้กับเด็ก สัตว์ทะเลมีวิวัฒนาการในการผลิตแสงสีน้ำเงินเนื่องจากมันสามารถเดินทางได้ดีภายใต้มหาสมุทรนั้น
กระบวนการ Bioluminescence นี้ เกือบจะเรียกได้ว่ามีอยู่ในเฉพาะสัตว์ทะเล ยกเว้นสัตว์ชนิดหนึ่งคือหิ่งห้อย
ทีมงานของ Haddock ได้ใช้หุ่นยนต์ดำน้ำในการเก็บตัวอย่างสัตว์ 3 ชนิดจากทะเลปิดนอกชายฝั่งของแคลิฟอเนีย
2 ใน 3 ของสัตว์ตัวอย่างพบว่ามีปลาอยู่ในตัวมัน ซึ่งด้วยความลึกระดับนั้นไม่มีปลาอาศัยอยู่มากนัก Haddock และเพื่อนร่วมงานของเขาชี้ให้เห็นว่าแสงสีแดงดึงดูดปลาได้ และบางทีความสามารถในการมองเห็นแสงในทะเลลึก อาจจะเป็นเรื่องปกติ เกินกว่าที่พวกเราเคยได้รับรู้กันมา
แปลมาจาก :: livescience.com ::บทความต้นฉบับ
เขียนโดย :: Robert Roy Britt, LiveScience Senior Writer
ภาพโดย :: Steve Haddock
ระบบหายใจใต้น้ำแบบปลา
Tuesday, June 14, 2005, 11:05 AM - ต่างประเทศ
นักประดิษฐ์ชาวอิสราเอล ได้ทำการพัฒนาอุปกรณ์ระบบหายใจใต้น้ำโดยไม่ใช้ขวดอัดอากาศ หลักการประดิษฐ์แบบใหม่ชนิดนี้ จะเป็นการนำอ๊อกซิเจนที่มีอยู่ในน้ำมาใช้ หายใจให้กับนักดำน้ำสกูบ้า และภายในเรือดำน้ำ และการประดิษฐ์นี้เองได้รับความสนใจจาก นักประกอบการอุตหกรรมการดำน้ำ และกองทัพเรืออิสราเอล
แนวความคิดการหายใจใต้น้ำ โดยไม่พึ่งพาขวดอากาศเป็นความฝันของ ผู้ประพันธ์นิยายวิทยาศาสตร์มานานหลายปี ในภาพยนตร์ของ จอร์จ ลูคัส เรื่อง Star War : The Phantom Menace ก็มีการนำอุปกรณ์ในแนวความคิดดังกล่าวมาใช้ ในตอนที่ โอบีวัน ส่งเครื่องช่วยหายใจใต้น้ำแก่ Jedi ซึ่งนิยายวิทยาศาสตร์วันวานได้กลับมาเป็น วิทยาศาสตร์แห่งความจริงในวันนี้ในโลกของเรา ด้วยนักประดิษฐ์ชาวอิสราเอลคนหนึ่งกับความฝันของเขา
วิศวกรได้พยายามอย่างมากในการข้ามข้อจำกัดดังกล่าวมาหลายปีแล้ว เช่น เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ และสถานีอวกาศก็ใช้ระบบผลิตออกซิเจนจากน้ำ โดยกระบวนการ Electrolysis คือการแยกออกซิเจนจาก ไฮโดเจน ด้วยวิธีการทางเคมี ระบบเหล่านี้ต้องการพลังงานจำนวนมากในการทำงาน ซึ่งด้วยเหตุผลนี้ เรือดำน้ำเครื่องยนต์ดีเซล ที่มีขนาดเล็กกว่า จึงไม่สามารถใช้ระบบแยกออกซิเจนดังกล่าวได้ นอกจากนี้เรือดำน้ำยังต้องการปรับพื้นที่เพื่อเติมอากาศเพื่อบรรจุลงขวดอากาศบ่อยครั้งขึ้นด้วย นักดำน้ำแน่นอนว่าไม่สามารถจะที่คิดพกพาเครื่องจักรขนาดใหญ่เพื่อนำไปป้อนเป็นพลังงานได้ ดังนั้นการข้ามขีดจำกัดนี้นักประดิษฐ์ชาวอิสราเอล Alon Bodner จึงคิดไปถึงปลาในทะเล
ปลาไม่ต้องใช้กระบวนการทางเคมีในการแยกออกซิเจนออกจากน้ำ แต่พวกมันจะหายใจโดยใช้การซึมซับอ๊อกซิเจนจากในน้ำแทน ในมหาสมุทร คลื่นและกระแสน้ำใต้ทะลได้ช่วยผลิตอากาศเล็กภายในน้ำอยู่แล้ว การศึกษาในเชิงลึกได้แสดงให้เห็นว่าในความลึก 200 เมตรใต้ทะล มีการซึมซับของอากาศอยู่ประมาณ 1.5% ซึ่งอาจจะดูเหมือนไม่มาก แต่มันก็เพียงพอในการหายใจอย่างสบายของทั้งปลาเล็ก และปลา ภายใต้น้ำลึกขนาดนั้น
Alon Bodner |
ความคิดของ Bodner ถูกสร้างเป็นระบบเลียนแบบปลาที่ใช้อากาศภายในน้ำ ซึ่งจะทำให้ทั้งเรือดำน้ำขนาดเล็ก และนักดำน้ำลึก สามารถที่จะสลัดขวดอากาศที่เกะกะและมีขนาดใหญ่ทิ้งไปได้
ระบบที่พัฒนาโดย Bodner จะใช้หลักฟิสิกส์ที่รู้จักกันดีที่เรียกว่า Henry Law ซึ่งอธิบายการแทรกซึมของแก็สเฉื่อยในของเหลว ซึ่งกฎนี้ใช้หลักการของความดัน โดยความดันที่ลดลงก็จะคายแก็สออกจากของเหลว การสร้างออกซิเจนจากนั้น จะทำการปรับเปลี่ยนการทำงานอย่างรวดเร็ว ภายใต้กล่องปิดผนึกขนาดเล็กที่พกพาลงไปใต้ทะเล ระบบนี้จะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ที่ชาร์ทไฟใหม่ได้ และการคำนวณชี้ให้เห็นว่าแบตเตอรีลิเทียม 1 กิโลกรัมสามารถป้อนพลังงานเพื่อให้นักดำน้ำสามารถดำน้ำได้นานถึง 1 ชั่วโมง |
Bodner ได้สร้างระบบทดสอบในห้องแลปเรียบร้อยแล้ว และเขากำลังอยู่ในขั้นตอนการสร้างตัวต้นแบบจริง ลิขสิทธิ์สำหรับการประดิษฐ์นี้ก็ได้รับการอนุมัติจากยุโรป รวมถึงการรอการอนุมัติตรวจสอบในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
โครงการนี้ก็ได้รับการดูแลจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมดำน้ำ และกองทัพเรืออิสราเอล การสนับทางการเงินเบื้องต้นก็ได้รับการดูแลโดย รัฐมนตรีอุตสาหกรรมและพาณิชย์ ของอิสราเอล สำหรับ Bodner ขณะนี้กำลังมองหานักลงทุนเอกชนเพื่อช่วยเขาในการทำให้โครงการนี้เป็นผลสำเร็จให้ได้
ถ้าทุกสิ่งดำเนินไปตามแผนงาน ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า การหายใจใต้น้ำโดยไม่ใช้ขวดอากาศ ก็จะมีให้ได้ใช้งานกัน และจะยึดติดไปกับนักดำน้ำในรูปแบบของชุดดำน้ำ ซึ่งจะทำให้พวกเขาอยู่ใต้น้ำได้นานหลายชั่วโมง
แปลมาจาก :: http://www.isracast.com :: บทความต้นฉบับ
2 comments
( 235 views )
| ปักหลัก
ปริศนาอลังการล้านสีสัน อาณาจักรแนวปะการัง
Friday, May 20, 2005, 10:21 AM - ต่างประเทศ
เรื่อง : เลส คัฟมิน
ภาพ : ทิม เลเมน
ผมและทิม เลเมน ช่างภาพ พากันดำดิ่งลงไปใต้ท้องทะเลแถบฟิจิและอินโดนีเซีย เพื่อศึกษาว่าสิ่งมีชีวิตในแนวปะการังใช้สีสันในการดำรงชีพอย่างไร เมื่ออยู่ท่ามกลางท้องน้ำมืดมัวนอกเขตแนวแนวปะการัง สัตว์น้ำส่วนใหญ่จะสื่อสารด้วยประสาทสัมผัสอื่นๆ เช่น การรับกลิ่น รสสัมผัสและเสียง โดยไม่ต้องพึ่งพาการมองเห็น แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในแนวปะการังซึ่งเป็นบริเวณที่ท้องน้ำใสสะอาดและมีแสงแดดส่องถึง การรับรู้ด้วยสายตาก็กลับมามีบทบาทสำคัญตามเดิม บรรดาสัตว์น้อยใหญ่ไม่ว่าจะมองเห็นหรือไม่เห็น ต่างออกมาอวดโฉมด้วยสีสันเฉิดฉาย บ้างก็เพื่อดึงดูดความสนใจของเพศตรงข้ามและข่มขู่ศัตรูให้กลัวหงอ หรือไม่ก็กำบังตัวจากสัตว์นักล่าและพรางตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
ทิมและผมเริ่มต้นด้วยการศึกษาระบบนิเวศแนวปะการังซึ่งยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ในท้องทะเลฟิจิ (ดู 'สีสันแดนปะการังแห่งฟิจิ' ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2547) ครั้งนั้น ทิมดำน้ำลงไป 25 เมตรและใช้ไฟดวงใหญ่ส่องไปที่ดงปะการังสีแดงสดใส แต่เมื่อปิดไฟเรากลับได้เห็นสีสันที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งคงใกล้เคียงกับที่ปลามองเห็น หมู่ปะการังกลายเป็นสีฟ้าอ่อน สีเขียว สีม่วงและสีเหลือง แต่เราไม่เห็นสีแดงเลย เพราะสีนี้มีความยาวคลื่นมากกว่าสีอื่นจึงถูกโมเลกุลของน้ำและตะกอนใต้น้ำดูดซับไปจนหมด ส่วนรงควัตถุสีแดงในตัวสัตว์ทะเลอาจปรากฏเป็นสีเทาหรือดำในน้ำลึก ซึ่งเราก็ยังไม่เข้าใจว่าแล้วมันจะมีสีแดงไว้เพื่ออะไร แต่สิ่งที่เราเข้าใจมากขึ้นในตอนนี้ คือเหตุใดสัตว์ที่อยู่ตามแนวปะการังจึงมักเป็นสีเหลืองและสีฟ้า ทั้งๆที่สีเหล่านี้ทำให้พวกมันตกเป็นเป้าของนักสะสมปลาสวยงาม
จัสติน มาร์แชล และจอร์จ โลซีย์ พร้อมด้วยเพื่อนร่วมงานทำการศึกษาเกี่ยวกับดวงตาของปลาโดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า ไมโครสเปกโตรโฟโตเมทรี (microspectrophotometry) ในการวิเคราะห์รงควัตถุรับภาพ (visual pigment) และภาวะไวแสง (photosensitivity) ของดวงตาปลาหลายชนิดที่อาศัยอยู่ตามแนวปะการัง เพื่อศึกษาลักษณะการเห็นภาพและสิ่งที่ปลามองเห็น
นอกจากนี้ทีมงานยังวัดความยาวคลื่นแสงที่สะท้อนจากส่วนต่างๆของปะการังเพื่อคำนวณหา "สีเฉลี่ยของปะการัง" และพบว่าเมื่ออยู่ในแสงธรรมชาติ สีเหลืองและสีฟ้าที่อยู่บนตัวปลาสลิดหิน ปลานกขุนทอง และปลาสินสมุทร จะกลมกลืนไปกับค่าสีเฉลี่ยของปะการังและช่วยให้มันอำพรางตัวจากสัตว์นักล่าได้
นอกจากจะใช้สีเพื่อหลอกล่อเหยื่อแล้ว สัตว์น้ำในแนวปะการังยังใช้สีเพื่อส่ง 'ภาษารัก' แบบสั้นๆ ปลาตามแนวปะการังหลายชนิดสามารถเปลี่ยนสีตัวได้ในชั่วพริบตา เช่น ปลานกขุนทองแฟลชเชอร์เพศผู้ฝูงหนึ่งที่เราเห็นใกล้ชายฝั่งบาหลี สามารถเปลี่ยนแถบสีบนลำตัวและครีบที่เหยียดตรงให้เป็นสีฟ้าสว่างจ้า ทำให้ปลาเพศเมียซึ่งหลงใหลในแสงสีดังกล่าวว่ายปรี่เข้าไปหาคู่ที่หมายตาไว้ พลาพ่นไข่ออกมากลุ่มใหญ่พร้อมๆกับที่ตัวผู้ฉีดน้ำเชื้อออกมาผสม เมื่อภาระกิจเสร็จสิ้นลง เจ้าตัวผู้จะกลับกลายเป็นสีน้ำตาลตามเดิม ส่วนปลามาสาวคู่รักก็รีบว่ายหนีเข้าไปซ่อนในแนวปะการัง ช่วงเวลาของการสำแดงสีสันอันบรรเจิดอาจทำให้พวกมันตกเป็นเป้าสายตาของสัตว์นักล่า ดังนั้น ความสามารถในการเปลี่ยนสีตัวเองให้กลับสู่สภาพเดิมจึงเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน
มนุษย์อาจได้เห็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงสีสันตระการตาเช่นนี้ได้ถ้ามีแสงสว่างเพียงพอ ใต้ผืนน้ำบริเวณใกล้เกาะนูซาเทนการ์รา มีฝูงปลามาชุมนุมเปิบแพลงก็ตอนตัวใสกันอย่างคึกคัก ปลาหลายชนิดที่กินแพลงก์จอนเป็นอาหารสามารถมองเห็นรังสีอัลตราไวโอเลต หรือยูวี ทำให้พวกมันเห็นแพลงก์ตอนในน้ำเป็นสีดำ เพราะแสงยูวีสามารถส่งทะลุผืนน้ำได้ลึกกว่า 100 เมตร ถึงแม้สายตามนุษย์จะมองไม่เห็นรังสีนั้นก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นปลาบางชนิดไม่เพียงมองเห็นแสงยูวีเท่านั้น แต่ยังมีเซลล์สะท้อนแสงยูวีบนลำตัว เพื่อสื่อสารกับพวกพ้องอีกด้วย เช่นปลานิดหินสามารถส่งสัญญาณถึงกันได้เมื่ออยู่ในแสงยูวี โดยที่สัตว์นักว่าอื่นๆมองไม่เห็น การค้นพบดังกล่าวทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า โลกใต้น้ำยังมีความมหัศจรรย์อีกมากมายเพียงใดที่ตาเรามองไม่เห็น
ติดตามอ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ใน National Geographic ฉบับภาษาไทย ประจำเดือนพฤษภาคม 2548 :http://www.ngthai.com/feature.asp?id=292
ครูสอนดำน้ำภาษามือ
Tuesday, April 19, 2005, 02:26 PM - ต่างประเทศ
|
TAVARES - ครูสอนดำน้ำสกูบ้า Chris Zelnio ช่วยนักเรียนดำน้ำ Shawna Grant ตรวจสอบอุปกรณ์ดำน้ำ เพื่อความปลอดภัยตามกฏมาตรฐาน ในชั่วโมงเรียนที่สระน้ำ Golden Triangle YMCA
โดยการไม่พูด หรือ ได้ยิน คำใด ๆ ทั้งครูและนักเรียนต่างมีปัญหาทางการได้ยินทางหู พวกเขาสื่อสารกันด้วย ภาษามือ "คุณไม่สามารถพูดได้ เมื่อคุณอยู่ใต้น้ำ และเมื่อเราลงน้ำ ต่างก็มีความเท่าเทียมกัน" Randy Olson ครูสอนและครูผู้ช่วยของ Zelnio ให้สัมภาษณ์ ครูสอนดำน้ำ Zelnio วัย 30 มีความผิดปรกติการได้ยินแต่เด็ก ทำให้เขาไม่สามารถพูดได้ด้วย 3 ปี กับประกาศนียบัตรครูดำน้ำ กับการสอน อีก 2 ปีที่ C&N ในเขต Mount Dora โรงเรียนสอนแห่งนี้จ้างเขามาทำงาน เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เป็นครูสอนดำน้ำแก่ผู้ที่พิการทางการได้ยิน "มันเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เพราะพวกเรามีภาษามือแบบเดียวกัน" เขากล่าว Zelnio เรียนดำน้ำแบบสกูบ้า เมื่อเขายังเป็นนักศึกษาปี 2 ที่มหาวิทยาลัย California State University ในปี 1994 โดยครูของเขาคือมนุษย์กบจากกองทัพที่เกษียรแล้ว และมีล่ามในการสื่อสารของคนทั้งสอง พ่อของ Zelnio คือ Robert Zelnio กล่าวว่าลูกชายของเขาชื่นชอบในการว่ายน้ำ และดำน้ำมาก เขายังกล่าวต่อไปอีกว่าลูกชายของเขาไม่เคยกลัวเรื่องน้ำ แต่กลับสนุกกันมันเสมอ จนในที่สุดลูกชายปัจจุบันก็เป็นครูสอนดำน้ำ 1 ใน 7 คน ที่ C&N Zelnio ยังได้จัดชั้นเรียนพื้นฐานของการดำน้ำแบบสกูบ้า แก่นักเรียนผู้พิการการได้ยินด้วยภาษามืออีกด้วย |
รูป :: deafhoosiers.com
เรื่องโดย :: Lori Carter
แปลมาจาก :: underwatertimes.com :: บทความสำเนา
ญี่ปุ่นยังคงเดินหน้าไล่ฆ่าวาฬต่อไป
Thursday, March 31, 2005, 06:04 PM - ต่างประเทศ
เอเอฟพี ฝูงเรือล่าวาฬของญี่ปุ่นได้เดินทางกลับยังท่าเรือแล้ว หลังจากได้ออกล่าวาฬเป็นเวลานานกว่า 18 ปี ตามแผนการเดิม ที่สร้างความไม่พอใจให้กับนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กระนั้น รัฐบาลญี่ปุ่นกล่าวว่า ญี่ปุ่นจะยังออกล่าวาฬต่อไป แม้ว่านานาชาติจะคัดค้าน
หลังจากปี 1986 ญี่ปุ่นได้ยกเลิกการล่าวาฬเพื่อการค้า และได้เริ่มการล่าวาฬตามที่ได้อ้างว่าเพื่อการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ในปีถัดมา แต่ปรากฏว่า เนื้อวาฬที่ถูกล่ามานั้น กลับไปปรากฏอยู่ตามชั้นขายสินค้า และร้านอาหารแทน ซึ่งกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้กล่าวว่า การล่าวาฬนั้นของญี่ปุ่นเป็นไปเพื่อการค้า โดยเอาการค้นคว้ามาบังหน้า
ด้านรัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกมากล่าวว่า ญี่ปุ่นจะยังคงบริโภคเนื้อวาฬต่อไป เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ได้รับตกทอดมา แม้ว่านักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจะออกมาต่อต้านก็ตาม เนื่องจากวาฬบางชนิดนั้น อยู่ในภาวะที่ใกล้จะสูญพันธุ์
และในวันนี้(31) ฝูงเรือล่าวาฬของญี่ปุ่นได้เดินทางกลับถึงท่าเรือแล้ว หลังจากได้ออกล่าวาฬที่ทะเลแอนตาร์กติก ตั้งแต่เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา พร้อมกับล่าวาฬมิงค์ได้ 440 ตัว
ทั้งนี้ เพื่อที่จะได้รับการอนุญาตให้ล่าวาฬเพื่อการค้นคว้าครั้งต่อไป รัฐบาลญี่ปุ่นจะยื่นคำร้องไปยังคณะกรรมาธิการการล่าวาฬนานาชาติ(ไอดับเบิลยูซี) ในประเทศเกาหลีใต้ ภายในเดือนมิถุนายนนี้
อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นได้กล่าวว่า ญี่ปุ่นจะยังคงล่าวาฬต่อไป แม้ว่าไอดับเบิลยูซีจะปฏิเสธแผนที่ได้เสนอไปก็ตาม ซึ่งญี่ปุ่นอ้างว่า วาฬได้ทำให้จำนวนปลาที่จับได้น้อยลง เนื่องจากพวกวาฬได้บริโภคปลาไปเป็นจำนวนมหาศาล
กระนั้น ญี่ปุ่นกลับสนับสนุนการปกป้องวาฬชนิดที่ใกล้จะสูญพันธุ์ แต่ญี่ปุ่นได้แย้งว่าวาฬชนิดอื่นๆ ยังคงมีมากพอที่จะล่า ในจำนวนที่จำกัด
อนึ่ง ญี่ปุ่นและชาติที่สนับสนุนการล่าวาฬต่างรู้สึกไม่พอใจ ที่มีกลุ่มต่อต้านการล่าวาฬเพิ่มมากขึ้น ในการประชุมประจำปีของไอดับเบิลยูซี ซึ่งญี่ปุ่นถึงกับขู่ที่จะถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกของไอดับเบิลยูซี ถ้าหากระบบการตรวจสอบการจับวาฬและโควต้าการจับวาฬขนาดใหญ่ที่เสนอไปไม่ได้รับการอนุมัติ ซึ่งระบบที่ว่านี้จะทำให้การห้ามล่าวาฬต้องสิ้นสุดลงในที่สุด
สำเนาจาก :: www.manager.co.th :: บทความสำเนา ::
ย้อนกลับ ถัดไป